“เกียรตินาคินภัทร” แนะซื้อ TOP มองกำไร Q4 แกร่งต่อเนื่อง ชูเป้า 70.90 บาท
“บล.เกียรตินาคินภัทร” แนะนำซื้อ TOP ราคาเป้าหมาย 70.90 บาท หลังรายงานกำไรไตรมาส 3 ออกมาอย่างโดดเด่น ขณะที่ในไตรมาส 4 ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง รับแรงหนุนจากกำไรสต๊อกน้ำมัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย.66 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร เผยแพร่บทวิเคราะห์หุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP โดยคงระดับคำแนะนำ “ซื้อ” และตั้งเป้าหมายราคาไว้ที่ 70.90 บาท จากราคา ณ วันวิเคราะห์ 47.25 บาท
ทั้งนี้ เนื่องจาก TOP มีผลประกอบการไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่งจากส่วนต่างน้ำมัน Buoyant Diesel ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ TOP มีอัตรากำไรขั้นต้นของการกลั่น (Gross Refining Margin: GRM) ที่สูงกว่าผู้เล่นอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน แม้ว่าผลกระทบด้านลบจากการรั่วไหลของน้ำมันอาจยาวนานถึงครึ่งปีหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในไตรมาส 3 TOP จะมีการรั่วไหลของน้ำมันในเดือน ก.ย. แต่กำไรสุทธิหลักหลังหักภาษี (Core Net Profit After Taxes: Core NPAT) ยังคงเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจาก 3.2 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ขึ้นเป็น 8.5 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัย ที่ 7.4 พันล้านบาท เมื่อนับรวมกับผลการขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Loss) จำนวน 4.5 พันล้านบาท, กำไรจากสต๊อกน้ำมัน 9.6 พันล้านบาท และ ราคาสินค้าคงคลังที่ลดลง 1.8 พันล้านบาท จะทำให้ NPAT เพิ่มขึ้นเป็น 1.08 หมื่นล้านบาท
สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 66 นักวิเคราะห์คาดว่า Core NPAT ของ TOP จะอยู่ที่ 1.86 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 97% ของประมาณการปี 66 จากทางเกียรตินาคินฯ และคิดเป็น 112% ของประมาณการจากคอนเซนซัส และเมื่อพิจารณาถึงส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาส 4 น่าจะเป็นอีกไตรมาสที่แข็งแกร่งของ TOP ซึ่งบ่งบอกถึงอัพไซด์ของผลประกอบการ ทำให้นักวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในปี 66-68 และมูลค่าประเมินที่น่าดึงดูด
บทวิเคราะห์ระบุว่า ส่วนต่างราคาน้ำมันที่แข็งแกร่งสำหรับทุกๆ ผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงของ TOP ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นรวม (Gross Integrated Margin: GIM) ของการกลั่นเพิ่มจาก 4.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2 ขึ้นเป็น 12.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาส 3 ในขณะที่ TOP ยังคงมีสารกลั่นระดับกลางที่สูงถึง 56% ในไตรมาส 3 และมีค่า Murban Premium ลดจาก 2.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลงเป็น 1.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ประกอบกับอัตราค่าขนส่งที่อ่อนลงจาก 1.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น 1.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่า TOP จะประกาศกำไรสต็อกน้ำมันที่ 9.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็ตาม แต่กำไรดังกล่าวถูกหักลบด้วยผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงที่ 4.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และยังประสบกับต้นทุนค่าเรือต่อเรือเพิ่มเติมที่ 0.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งนับว่าค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับ SPRC ที่ 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับ TOP ดำเนินธุรกิจส่วนต่างน้ำมันดีเซลโดยป้องกันความเสี่ยงประมาณ 25% หรือ 1 ใน 4 ของปริมาณการผลิตรวมที่ 21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลต่อไตรมาส ในขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลเมื่อสิ้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า (Forward) แสดงถึงส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลในไตรมาส 4 ที่ 26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะเห็นกำไรจากการป้องกันความเสี่ยงในไตรมาส 4 จากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา
โดยนักวิเคราะห์คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นรวม (GIM) ของผลิตภัณฑ์กลุ่ม Aromatics ของ TOP น่าจะอ่อนตัวลงจาก 0.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น 0.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากส่วนต่างน้ำมันเบนซีนที่อ่อนตัวลง ขณะที่ GIM ของกลุ่มสารหล่อลื่น (Lube) ยังคงย่ำแย่อยู่ที่ 0.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ GIM ของตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 13.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 6.1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2
ขณะที่อัตราการดำเนินการ (Run Rate) ของ TOP ในไตรมาส 4 มากกว่า 110% กลับมาปกติแล้ว นักวิเคราะห์คาดว่าต้นทุนเงินสดดำเนินงาน (Cash Operating Expense Cost หรือ Cash OPEX Cost) ของการกลั่น น่าจะยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับ Cash OPEX Cost รวมที่ 1.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ TOP ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันรั่วเพิ่มอีก 155 ล้านบาท ซึ่งนับว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับกรณีน้ำมันรั่วอื่นๆ อีกทั้งหนี้สินสุทธิต่อทุนของ TOP ยังลดลงจาก 1.01 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ลงเป็น 0.97 เท่า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรั่วไหลของน้ำมัน เช่น ค่าทำความสะอาดและค่าชดเชยจะต่ำ แต่ TOP จะต้องเสียต้นทุนค่าขนส่งแบบเรือต่อเรือเพิ่มอีกประมาณ 13.5 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส ไปอีกอย่างน้อยถึงครึ่งแรกของปี 67 เช่นเดียวกับการเริ่มใช้งานใหม่อีกครั้งของทุ่นผูกเรือหมายเลข 2 (Single Buoy Mooring หรือ Single Point Mooring: SBM-2) สำหรับขนถ่ายน้ำมันที่จะต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ เนื่องจาก TOP ได้ตัดสินใจเปลี่ยนท่อลอยแบบยืดหยุ่น (Floating Flexible Hose) ทั้งหมด ไม่ใช่แค่เฉพาะส่วนที่รั่วไหล ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย