DTCENT โชว์กำไรไตรมาส 3 พุ่ง 2 เท่าตัว ลุ้นรายได้ปีนี้โต 15%
DTCENT โชว์กำไรไตรมาส 3/66 แตะ 44 ล้านบาท โต 197% อานิสงส์ GPS Tracking – โครงการภาครัฐ ลุยเปิดศูนย์ GPS 8 แห่งภายในปีนี้ หนุนรายได้ปี 66 โต 10-15 %
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT ผู้นำในการให้บริการระบบ GPS Tracking อันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 43.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196.82% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 14.80 ล้านบาท และมีรายได้รวม 220.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.85% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 155.11 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 มีกำไรสุทธิ 83.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.78% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 52.39 ล้านบาท และมีรายได้รวม 558.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.45% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 479.72 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นมาจากรายได้จากการขายและให้บริการ ทั้งการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และงานโครงการของภาครัฐ
“โดยผลประกอบการในงวดไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทยังสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงการที่บริษัท มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับองค์กรต่างๆ และสินค้าระบบ GPS Tracking ประเภทเช่ายังได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย” นายทศพล กล่าว
สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4/2566 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง จากการเร่งเปิดศูนย์บริการสำหรับจำหน่าย ติดตั้ง และซ่อมบำรุงอุปกรณ์ GPS Tracking และกล้องติดรถอย่างครบวงจร ตามจังหวัดใหญ่ๆ ของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้ครบ 8 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว 6 แห่ง ทั้ง กรุงเทพฯ, เชียงใหม่ อุดรธานี, ขอนแก่น, อยุธยา และนครสวรรค์
ทั้งนี้เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้บริการรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับในช่วงนี้ไปจนถึงปลายปีและต้นปีหน้า จะเกิดการเดินทางท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาในช่วงสิ้นปี ซึ่งความต้องการใช้บริการระบบ GPS Tracking จะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลเชิงบวกให้กับบริษัท อีกทั้งปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายและสามารถสร้างรายได้ในปีนี้เติบโตได้ที่ระดับ 10-15% ตามแผนที่วางไว้
ขณะเดียวกันงานด้าน IoT Solution และระบบ AI รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ และเทศบาลต่างๆ ล่าสุด บริษัท ได้รับงานโครงการระบบ AI เพื่อบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำของสำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร ส่วน BAMS (Business Activity Management System) ทดลองเปิดให้บริการบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนเรียบร้อยแล้ว และในส่วนของระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
สำหรับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นการนำโมเดลระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ล่าสุดได้ลงนามสัญญากับ บริษัท สุดาพอนการค้า ขาเข้า-ขาออก และบริการ จำกัด และบริษัท พีทีแอล โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อร่วมลงทุนจัดตั้ง บริษัท ดี.ที.ซี. ลาว จำกัด ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนเตรียมจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท
นอกจากนี้ความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้ DTCENT เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาสินค้าร่วมกัน และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีหน้าเพิ่มเติม
โดยส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน พร้อมเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ รวมทั้งส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ มากขึ้น อีกทั้ง DTCENT ร่วมกับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน กำลังศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักในรูปแบบการทำ M&A ในบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีหน้า