UAC โชว์งบ 9 เดือนโต 2 เท่าตัว รับรู้ส่วนแบ่งกำไร-ปันผลบริษัทร่วม
UAC โชว์กำไร 9 เดือน โต 200% ประกาศเร่งเครื่องดันรายได้ปี 70 แตะ 4 พันลบ. ลุยขยายธุรกิจพลังงาน "ปิโตรเลียม - โรงไฟฟ้าชุมชน - โรงงานผลิต RDF"
นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในงวด 9 เดือนแรกปี 66 โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 1,258.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 289.04 ล้านบาท หรือ 29.80% จากปีก่อน และมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท 257.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172.62 ล้านบาท หรือ 204.06% จากปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 397.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.47%
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 บริษัทฯมีรายได้จากการขายและบริการ 460.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137.14 ล้านบาท หรือ 42.35% จากปีก่อน และพลิกเป็นกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท 76.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.71 ล้านบาท หรือ 1,550.99% จากปีก่อน และมี EBITDA อยู่ที่ 117.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 213.06%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างโดดเด่นนั้น โดยหลักมากจากการรับรู้รายได้จากการขายและให้บริการจากกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้งที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 32.42% จากปีก่อน จากปัญหาการขนส่งสินค้าที่เริ่มคลี่คลาย กลุ่มธุรกิจ Manufacturing – Energy ยังคงมีรายได้ที่ลดลง 8.21% จากปีก่อน จากวัตถุดิบหลักที่ไม่เพียงพอต่อการผลิต
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไปจากการขาย RDF3 ในสปป.ลาว และการขายไฟฟ้าจากโรงผลิตไฟฟ้าภูผาม่าน และกลุ่มธุรกิจ – Petroleum ที่ทยอยรับรู้รายได้และคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการติดตั้งเครื่อง Artificial lift เพื่อเพิ่มการผลิตปิโตรเลียมให้ได้วันละ 300 BBL/Day พร้อมทั้ง รับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และเงินปันผลจากบริษัทร่วมอย่างต่อเนื่อง
“จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังเจอแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากภาระเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ดังนั้น UAC จึงให้ความสำคัญในการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ทำให้บริษัทมีเงินสดในมือ ณ สิ้นไตรมาส 3/66 จำนวน 250.73 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) 0.84 เท่า ยังคงเป็นไปตามกรอบนโยบายทางการเงินของบริษัทที่ไม่เกิน 2 เท่า” นายชัชพล กล่าว
นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ UAC กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการการลงทุนต่าง ๆ ว่า สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าภูผาม่าน (PPM) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เดินเครื่อง Generator#1 กำลังการผลิต 1.5 เมกกะวัตต์ ภายในเดือน ธ.ค.66 นี้ ส่วน Generator#2 กำลังการผลิต 1.5 เมกกะวัตต์ จะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/67
ส่วนโครงการ PT Cahaya Yasa Cipta (CYC) ซึ่งเป็นโครงการภายการการลงทุนของบริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (บริษัทย่อย) ร่วมลงทุนใน PT Cahaya Cipta สัดส่วน 70% เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่าย RDF3 ในประเทศอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตประมาณ 40,000 ตัน/ปี โดยจะจำหน่ายให้กับโรงปูนซีเมนต์ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งได้มีการวางศิลาฤกษ์เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค.66 และอยู่ระหว่างการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อยื่นขอใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างโรงงานและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 3/67
ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์การลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาดข้างต้นจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตตามเป้ารายได้ที่วางไว้ในปีนี้เพิ่มขึ้น 15% ควบคู่กับการรักษาระดับการเติบโตของอัตรากำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มากกว่า 20% ของรายได้ยอดขายรวม พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการเตรียมปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของ UAC Group เพื่อเป้าหมายรายได้ 4,000 ล้านบาทในปี 70
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 66 อยู่ในระดับ “ดีเลิศ (Excellent)” หรือ 5 ดาว ที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ติดต่อกันเป็นปีที่ 6
โดยถือเป็นการสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านการบริหารงานอย่างมีความรับผิดชอบ โปร่งใส และให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกส่วน ซึ่งสอดกับวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น สู่การเป็นผู้ประกอบการด้านพลังงานสะอาด ปิโตรเคมีและสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG)