“กิตติรัตน์” แจงตั้งกองทุน ESG หนุนเม็ดเงินลงทุน “บจ.” เน้นสิ่งแวดล้อม
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เผยกรณีจัดตั้ง ESG Fund หนุนผู้มีเงินออมลงทุนระยะยาว มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก หวังเม็ดเงินใหม่หนุนหุ้น ESG ถูก SHORT Sell เยอะๆ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (14 พ.ย. 66) ว่าในกรณีของการจัดตั้งกองทุน ESG Fund หลังจากมีประชุมเรื่อง สภาวะตลาดหุ้นกับปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เชื่อว่าจะมีข้อสรุปออกมาเรียบร้อยได้ในช่วงบ่ายนี้ ซึ่งคาดว่าทางปลัดกระทรวงการคลังจะออกมาแถลงการณ์ให้กับสื่อมวลชนมีความชัดเจนมากขึ้น
สำหรับกองทุน ESG Fund มีวัตถุประสงค์ คือต้องการเห็นผู้มีเงินออมเลือกลงทุนระยะยาว โดยลักษณะการลงทุนระยะยาวคล้ายกับ LTF หรือ Long term หรือ Battle Fund ซึ่งในแนวทางของกองทุน LTF สามารถลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ โดยเราอยากเห็นการสนับสนุนและผู้ลงทุนมีความสนใจลงทุนในหุ้นด้านสิ่งแวดล้อม ห่วงใย สังคมส่วนรวม พร้อมมีระบบกำกับการดูแลที่มีมาตรฐานสูง โดย ESG ย่อมาจาก Environment, Social, และ Governance ดังนั้น 3 ปัจจัยหลักนี้มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จำนวนไม่น้อยที่มีมาตรฐานการปฎิบัติในระดับที่เรียกว่าดีสำหรับ ESG
ทั้งนี้กองทุนที่กล่าวมานั้นยังมีลักษณะที่ยังคงจะให้สิทธิประโยชน์ต่อผู้ออมและผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลทั่วไป โดยมีหน้าที่ต้องเสียภาษี โดยสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ แต่ในขณะเดียวกันการที่จะลงทุนหุ้นต่างๆ กองทุนจะมุ่งเป้าหมายไปยังบริษัทที่เป็น ESG เป็นหลัก
ส่วนของกองทุน LTF เปลี่ยนเป็น SSF ซึ่งจะหมดอายุในช่วงปีหน้า จะมีการหารือเพื่อขยายระยะเวลา เพื่อเอาเงื่อนไขของ LTF กลับมาใช้คู่ขนานไปกับ ESG Fund ตรงนี้อาจจะมองว่าเป็นไปได้ ซึ่งกองทุนที่จะมีลักษณะที่ส่งเสริมให้เกิดกับประโยชน์ส่วนรวมกับผู้ต้องการใช้เงิน โดยทิศทางต้องโยงไปกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะฉะนั้นกองทุนมีลักษณะให้เปิดทางให้ลงทุนอะไรก็ได้ อาจจะไม่ค่อยเหมาะในยุคสมัยปัจจุบันและอนาคต
นอกจากนี้ ยังเห็นมาตรฐานในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทย สำหรับระยะเวลาของกองทุน ESG Fund มองว่าควรอยู่ที่ความพอดี และความเหมาะสม ซึ่งระยะเวลาระยะสั้นอาจจะไม่ดี โดยให้ทางกลุ่มบริหารตลาดทุนเป็นคนพิจารณาเรื่องนี้ ก่อนที่จะมีการแถลงการณ์ออกมา
นายกิตติรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ยังมีประเด็นกระแสข่าวเรื่องของ Neked Short Selling และเรื่องของ Robot Trading โดยในมุมมองนี้เรามองว่าอาจจะเป็นปัญหา แต่คนส่วนใหญ่ไปเชื่อเรื่องกระแสข่าวออกมามันอาจจะส่งผลทำให้ตลาดอ่อนไหว
ดังนั้นสิ่งที่ทางก.ล.ต. ให้ความสำคัญในขณะที่ยังคงอนุญาตให้มีการ Short Sell และมีการอนุญาตให้มีการใช้ Trading การกำกับให้เป็นการดูแลมาตรฐานสากลต้องเข้มข้นและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนโดยรวมได้ แม้ว่าในขณะนี้เชื่อว่ามีมาตรฐานที่สูงระดับสากล โดยยังพบว่าสามารถทำให้เข้มข้นได้มากขึ้นในการตรวจสอบไปถึงผู้ลงทุนเป็นรายๆ โดยมีการซื้อขายหุ้นจะปฎิบัติตามกฎหมาย และไม่เพิกเฉยต่อผู้ลงทุน
ขณะที่ตลาดต่างประเทศบางตลาดยังคงเลือกตอบสนองความกังวลที่จะห้าม Short Sell ไม่ว่าตรงนั้นจะมี Neked Short Selling หรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีที่บางตลาดเลือก แต่เมื่อมองกับมาที่ตลาดหุ้นไทยถ้าห้ามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แล้วจะนำกลับมาใช้ใหม่ มันก็อาจจะมองว่าซ้ำซ้อน ซึ่งขณะนี้โลกก็ยอมรับถึงการขาย Short Sell โดยอาจจะต้องยืนหยัดอยู่กับการที่ปฎิบัติตามมาตรฐานนี้
ส่วนการใช้โปรแกรม Trading ที่ไม่ถูกต้องจนนำไปสู่ทิศทางที่คล้ายกับสร้างราคาโดยที่ใช้โปรแกรมมาเป็นตัวดำเนินการ โดยเชื่อว่าทางการเราและตลาดหุ้นให้ความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในยามที่ตลาดมีความเปราะบางสำหรับคนที่ไม่มีหุ้นถือเป็นของตัวเอง และได้ดำเนินการขายสำหรับการ Short Sell มันอาจจะไม่เหมาะสม แต่สำหรับบุคคลที่ขาย Short ไปแล้วมองว่ามีความกดดันจึงจำเป็นที่ต้องมาซื้อคืนก็จะทำให้ตลาดหุ้นกลับมามีประสิทธิภาพได้ดี แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ หากในกรณีของการขายหุ้น Short Sell แบบซ้ำๆ พฤติกรรมแบบนี้อาจเข่าข่ายสร้างราคาหุ้น ซึ่งจงใจการขาย Short เพื่อให้ราคาหุ้นลดลง ซึ่งทีมงานตลาดหลักทรัพย์และเจ้าหน้าที่ก.ล.ต. จะเป็นผู้จัดการปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น
โดยมองว่าการลงทุนสถานการณ์นี้จาก Robot Trading เป็นโปรแกรมเทรดดิ้งอย่างหนึ่ง โดยการตัดสินใจของหุ่นยนต์หรือเรียกว่า AI ดังนั้นผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลทั่วไปอยากจะขอดูเชิงพฤติกรรม โดยมีการตัดสินใจซื้อขายอิงโปรแกรมที่ได้ถูกวางไว้ และขึ้นอยู่กับตลาดหุ้นไทยกลับมาฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจต่างๆ ดีขึ้น