EPG แย้มครึ่งหลังปี 67 ธุรกิจหลักโตต่อ! จ่อปันผล 0.12 บาท ขึ้น XD 27 พ.ย.นี้

EPG เชื่อมั่นผลงานครึ่งหลังของปีบัญชี 66/67 (ต.ค.66 - มี.ค.67) ธุรกิจหลักเติบโตต่อเนื่อง เตรียมแจกปันผล 0.12 บ. ขึ้น XD 27 พ.ย.66 และปีบัญชี 66/67 (เม.ย.66 – มี.ค.67) ยอดขายเติบโต 10%


รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปีบัญชี 66/2567 (กรกฎาคม-กันยายน 2566) บริษัทมียอดขายนิวไฮที่ 3,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.7% ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 170 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่ 434 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปีบัญชี 66/67 (เมษายน – กันยายน 2566) บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,285 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 6,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.2% กำไรสุทธิ 744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ในปีบัญชี 66/67 (เมษายน 2566 – มีนาคม 2567) บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตประมาณ 10% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 31 – 33% ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปีบัญชีนี้จะเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้แม้ว่าสถานการณ์โลกในปัจจุบันอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนและเผชิญกับความเสี่ยงในหลายด้าน อาทิ อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกา, ยุโรป, ออสเตรเลีย, ปัญหาสงคราม, รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม EPG เตรียมแผนรองรับกับความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น

ทั้งนี้ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อนและเย็น ภายใต้แบรนด์ “Aeroflex” ด้วยความพร้อมด้านการผลิตจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของ Aeroflex USA Inc. สหรัฐอเมริกา ประกอบกับสภาวะการแข่งขันขณะนี้ไม่รุนแรงนักส่งผลให้ฉนวน Aeroflex เป็นที่นิยมจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มลูกค้าขายส่งและกลุ่มลูกค้าโครงการ อาทิ EV / Semiconductor และ อาหาร เป็นต้น

โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ได้ออกสินค้าใหม่ Ultralow smoke ซึ่งนำไปใช้ในระบบ Air Ducting system ทั้งนี้เป็นฉนวนยางผลิตจากวัสดุคุณสมบัติพิเศษก่อให้เกิดควันน้อยและเริ่มมีกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า สำหรับตลาดในประเทศได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศ อีกทั้งสร้างโรงงานผลิตใหม่จึงทำให้มีกลุ่มลูกค้าโครงการเพิ่มขึ้นประกอบกับ Aeroflex มีสินค้านวัตกรรมอื่นๆ ที่ใช้ในระบบวิศวกรรมปรับอากาศจึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ครอบคลุม และในญี่ปุ่นฉนวนยาง Aeroflex กลุ่มพรีเมี่ยมยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด

ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ในไตรมาสที่ 3 ปีบัญชี 66/67 (ตุลาคม – ธันวาคม 2566) มียอดขายปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด อีกทั้งสินค้าหลักๆ คือ สินค้าประเภทหลังคาครอบกระบะ (Canopy) และบันไดข้างรถกระบะ (Slide Step) ซึ่งมีคำสั่งซื้อจากค่ายยานยนต์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ธุรกิจในออสเตรเลีย Aeroklas Asia Pacific Group Pty. Ltd. ออสเตรเลีย ได้ซื้อกิจการร้านค้าปลีก TJM ต่อจาก Franchisee รวมทั้งหมด 5 แห่ง รวมมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียหรือประมาณ 117 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นร้านค้าสาขา TJM (Corporate Store) ทำให้ปัจจุบัน TJM มีร้านค้าสาขารวม 12 แห่ง โดยเป็นไปตามแผนธุรกิจที่ตั้งเป้าหมายภายใน 2 ปีบัญชีจะมีร้านค้าสาขา TJM รวมทั้งสิ้น 15 แห่ง เพื่อเร่งให้เกิด synergy ในกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ในออสเตรเลีย

สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปีที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม EPP ได้ปรับกลยุทธ์การตลาดเน้นเจาะตลาดกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออกเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มดังกล่าว

โดยโรงงานผลิตถ้วยกระดาษ EPP ที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจรเมื่อเร็วๆ นี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน FSC (Forest Stewardship Council) และ BRC : British Retail Consortium มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ใส่อาหาร และมั่นใจได้ว่าบรรจุภัณฑ์ถ้วยกระดาษ EPP เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์หรือป่าที่มีการจัดการดูแลอย่างรับผิดชอบ

อีกทั้งการลงทุนในธุรกิจร่วมทุนซึ่งตั้งอยู่ในหลายประเทศ อาทิ ไทย, จีน, อินเดีย และแอฟริกาใต้ บริษัทได้ลงทุนในกลุ่มธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น รวมถึงกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีบัญชีนี้จะได้รับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามการลงทุนในกิจการร่วมค้าในแอฟริกาใต้ยังคงต้องรอความคืบหน้าจากค่ายยานยนต์ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก

นอกเหนือจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด (30 กันยายน 2566) ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท (12 สตางค์) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 336 ล้านบาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 พฤจิกายน 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (RD) วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2566

Back to top button