“บล.กรุงศรี” คัด 3 หุ้น “ท็อปพิก” น่าสะสมสัปดาห์นี้

“บล.กรุงศรี” มองดัชนีสัปดาห์นี้ 1,400-1,430 จุด จับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ พร้อมแนะนำหุ้นเด่นสัปดาห์นี้ CBG CRC และ WHA


บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (20 พ.ย.66) ว่า มีมุมมองเป็นกลางถึงบวก และให้กรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ที่ 1,400-1,430 จุด โดยมีปัจจัยผลักดันคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ ซึ่งมาตรการที่ผ่านการพิจารณาและได้ข้อสรุปในระดับหน่วยงานแล้วคาดการณ์ว่าจะผลักดันให้ ครม. อนุมัติในสัปดาห์นี้ อาทิ มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ e-Refund และกองทุนลดหย่อนภาษี Thailand ESG Fund

นอกจากนี้อาจมีประเด็นหนุนในเชิงเซนติเมนต์เพิ่มเติม อาทิ การหารือของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ให้ฟรี วีซ่า เพิ่มกับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาจากโซนยุโรป ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามและอาจจะสร้างความผันผวนให้กับตลาด การเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FE Minutes) คาดการณ์คณะกรรมการส่วนใหญ่จะยังหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

โดยประเด็นนี้แม้จะเป็นที่รับรู้ของตลาดไปแล้ว แต่เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นในฝั่งสหรัฐฯ ปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จึงอาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนและเป็นเซนติเมนต์เชิงลบต่อการลงทุนในประเทศไทยได้

ดังนั้นสัปดาห์นี้ยังเน้นหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่ม ESG ซึ่งตัวที่ยกให้เป็นท็อปพิก ได้แก่ CBG, CRC และ WHA

สำหรับ WHA ยอดขายที่ดินจะทำสถิติสูงสุดใหม่ปี 66 และปี 67 โดยยอดขายที่ดินในปี 66 จะได้รับการสนับสนุนจากที่ดิน 2,032 ไร่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 66 (1,617 ไร่ในไทยและ 415 ไร่ในเวียดนาม) แล: MOU/LO1 99 1 ไร่ (เทียบกับต้องการเพียง 718 ไร่ในไตรมาส 4/66) เห็นอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลก เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ดำเนินการศูนย์ข้อมูล ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดย WHA ยังอยู่ระหว่างการเจรจาขายที่ดินอีกหลายพันไร่ คาดการณ์ยอดขายที่ดินจะสูงถึง 3,000 ไร่ปี 67

ทั้งนี้ อุปสงค์ที่แข็งแกร่งส่งผลให้ WHA ปรับราคาขายขึ้นสองครั้งปีนี้และคาดว่าปีหน้าจะปรับขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 67-68 เพิ่มขึ้นเป็น 60% สำหรับประเทศไทย และ 40-45% สำหรับเวียดนาม ปัจจุบัน WHA มีสต๊อกที่ดินในประเทศไทย 7,600 ไร่ และวางแผนจะซื้อ 10,000+ ไร่ (โอน 2,000 ไร่ในไตรมาส 4/66 – ไตรมาส 1/67) โดยมี CAPEX เพิ่มขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท น่าจะทำให้คลายกังวลเรื่องการขาดแคลนอุปทาน

อย่างไรก็ตาม คากการณ์ว่าในช่วงไตรมาส 4/66 จะมีกำไรที่แข็งแกร่ง และจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีเนื่องจากราคาปรับขึ้นสองครั้งในปีนี้ และการขายสินทรัพย์มูลค่า 3.5 ล้านบาทในเดือน ธ.ค. ซึ่งจะสร้างกำไร 600 ล้านบาท ชดเชยกำไรจากโรงไฟฟ้าที่ลดลงได้ (อัตรา Ft ปรับลด) อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงไฟฟ้าจะฟื้นตัวปีหน้าจากการปรับขึ้นอัตรา Ft

Back to top button