ACE ชนะคดีโรงไฟฟ้าล็อตใหญ่ อัดเพิ่มกำลังผลิตชีวมวล 90 เมกฯทันที!
จับตา ACE วิ่งคึก! รับชนะคดี “โรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP-พลังงานสะอาดเถิน” อัดเพิ่มกำลังผลิตชีวมวล 90 เมกฯทันที! เดินหน้าก่อสร้างเต็มสูบ คาดโกยรายได้เพิ่มอีกปีละประมาณ 2,400 ล้านบาท
บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าของ กลุ่มบริษัทฯที่มีคดีความในศาลหรือประสบเหตุสุดวิสัยซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP ที่ อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 8 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม79.2 เมกะวัตต์ โดย บริษัทย่อยเจ้าของโครงการได้ ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
โดยความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาทั้ง 8 คดี ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( (“กฟภ. .”)ปฏิบัติตาม คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 บริษัทย่อยเจ้าของโครงการได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าคืนจาก กฟภ. รวม 8 สัญญากำลังการผลิตติดตั้งรวม 79.2 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตเสนอขายรวม 64 เมกะวัตต์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วและพร้อมเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาโครงการต่อไป
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดเถิน ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล (VSPP) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ โดยบริษัท แอ๊ดวานซ์ ไบโอ เอเชีย จำกัด (ABA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเจ้าของโครงการถูกกลุ่มบุคคลในเขตจังหวัดลำปาง ฟ้องเป็นคดีปกครอง ขอให้เพิกถอนใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงงานผลิตไฟฟ้า (ร.ง. 4)
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่2 ตุลาคม 2566 ศาลปกครองเชียงใหม่อ่านผลแห่งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดความสรุปว่ากระบวนการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง. 4) ของโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดเถินชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ให้ยกฟ้องคดีจึงถึงที่สุด โดย ABA เป็นฝ่ายชนะคดี
3.โครงการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด นาบอน 1 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด นาบอน 2 ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในแบบ SPP Hybrid Firm ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งทั้งสองโครงการรวม 50 เมกะเมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างพัฒนาอยู่ระหว่างพัฒนา แต่ประสบเหตุสุดวิสัย
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566 บริษัท เอซีอี โซลาร์ จำกัด ( ACE Solar) และ บริษัท ไบโอ เพาเวอร์ แพลนท์ จำกัด (BPP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด นาบอน 1 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด นาบอน 2 ตามลำดับ ได้บรรลุข้อตกลงกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“ กฟผ.”) ซึ่งเป็นคู่สัญญาในการบอกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ( PPA) ของทั้งสองโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นกับทั้งสองโครงการโดยมิใช่ความผิดของ ACE Solar และ BPP ทั้งนี้ กฟผ. จะทำการคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ( PPA) ซึ่งเป็นหนังสือค้ำประกันของธนาคารให้แก่ ACE Solar และ BPP ซึ่งมีวงเงินค้ำประกันโครงการละ 172 ล้านบาท
ด้านนายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ACE ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานสะอาดของไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ทำการคืนสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP ที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา จำนวน 8 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 79.2 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตเสนอขายรวม 64.0 เมกะวัตต์ ให้กับบริษัทย่อยต่างๆ ในกลุ่ม ACE ที่เป็นเจ้าของโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งของศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566 ที่มีคำพิพากษาให้ กฟภ. ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่มีก่อนหน้านี้
“การได้คืนมาซึ่ง PPA ของโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP ทั้ง 8 โครงการ โดยเป็นสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) ถือเป็นสัญญาณที่ดีในด้านการเพิ่มกำลังการผลิตรวมของบริษัทฯ ที่จะส่งผลต่อการสร้างรายได้เพิ่มในอนาคต ทั้งนี้คาดว่าหากเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ครบทั้ง 8 โครงการในกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับ ACE อีกประมาณ 2,400 ล้านบาทต่อปี และช่วยเพิ่ม EBITDA ได้อีกประมาณปีละ 1,200-1,300 ล้านบาท สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาโครงการเพื่อให้สามารถเปิด COD ได้ทันตามแผนที่วางไว้ต่อไป”
นายธนะชัย กล่าวเสริมว่า “โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลของ ACE เหล่านี้ นอกจากก่อให้เกิดประโยชน์ในมิติเศรษฐกิจต่อ ACE แล้ว ยังช่วยสร้างประโยชน์ในมิติสิ่งแวดล้อมและมิติสังคมควบคู่กันด้วย ซึ่งครบทั้ง 3 มิติ E, S และ G ตามหลักการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) โดยทั้ง 8 โครงการนี้ เมื่อ COD ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลที่เป็นพลังงานหมุนเวียนแทนการผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว คาดว่าจะช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละประมาณ 270,000 ตัน ขณะที่การรับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้ากลุ่มนี้ก็ช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรอีกปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะสัมพันธ์ไปกับการช่วยลดพื้นที่เผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในที่โล่ง คำนวณเป็นพื้นที่ได้อีกปีละประมาณ 1.14 ล้านไร่ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหา PM 2.5 ให้กับประเทศไปได้พร้อมกัน”
ทั้งนี้ เมื่อรวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดแห่งอื่นๆ ที่เปิด COD ก่อนหน้าแล้วนั้นจะทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งหมดของ ACE สามารถช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้รวมกันปีละประมาณ 660,000 ตัน สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรได้ปีละกว่า 2,600 ล้านบาท ทั้งช่วยแก้ปัญหา PM 2.5 ด้วยการลดพื้นที่เผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในที่โล่งปีละประมาณ 3 ล้านไร่ไปได้พร้อมกัน รวมถึงรายได้เพิ่มที่ตกสู่มือเกษตรกรโดยตรงยังช่วยก่อให้เกิดการหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจได้ปีละประมาณ 18,000-21,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้สอดรับตามกลยุทธ์ธุรกิจที่คณะผู้บริหารวางไว้นั่นคือ มุ่งสู่การเป็น “ต้นแบบผู้นำด้านธุรกิจพลังงานสะอาดของโลก” และพร้อมเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย “การเป็นองค์กรที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050” ในที่สุด