RATCH ตั้งเป้า “อีบิทด้า” ปีหน้าโต 5% พร้อมทุ่ม 3 หมื่นล้าน รุกขยายโรงไฟฟ้า
RATCH ตั้งเป้า EBITDA ในปี 2567 ยังเติบโตต่อไม่ต่ำกว่า 5% พร้อมวางงบลงทุนในปี 2567 บริษัทได้ตั้งเป้าอยู่ที่ 15,000-30,000 ล้านบาท รุกพลังงานหมุนเวียนเดินหน้าโครงการวินด์ฟาร์ม- โซลาร์ฟาร์ม ดันกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่ม!
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day ในวันที่ 27 พ.ย. 2566 ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3/2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,182 ล้านบาท ลดลง 47.42% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,248.23 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 11,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,755 ล้านบาท ลดลง 21.07% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,023.68 ล้านบาท
ทั้งนี้ในส่วนของกำไรที่เติบโต 4,755 ล้านบาท เป็นกำไรที่ได้มีการรวมกับอัตราสกุลเงินต่างประเทสด้วย เนื่องจากบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสกุลเงินเยน และเนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงส่งผลให้บริษัทได้รับกำไรจากส่วนนี้ และถ้าหากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศจะมีกำไรอยู่ที่ 4,612 ล้านบาท ลดลงจากปี 2565 ถึง 22% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก 2 สาเหตุ ได้แก่ สาเหตุของการหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้าหงสา ทั้งนี้เพื่อเป็นการดูแลสภาพเครื่องให้พร้อมใช้งานในระยะยาว และอีกสาเหตุมาจากบริษัทได้นำเงินไปลงทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการ ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่ากิจการที่บริษัทเข้าซื้อมาจะสามารถทำกำไรในระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ที่บริษัทได้เดินหน้าโครงการ โรงไฟฟ้าหินกอง ยูนิต 1-2 อยู่ระหว่างการดำเนินงานเป็นไปตามแผนมีการพัฒนาแล้ว 95% โดยส่วนของยูนิตที่ 1 คาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในเดือนมี.ค. 2567 ส่วนยูนิต 2 คาดว่าจะมีการ COD ประมาณต้นปี 2568
ขณะเดียวกันในส่วนของโครงการนวนคร เฟส3 ส่วนขยาย COD ได้ช่วงเดือนธ.ค. 2567 , โครงการ REN Korat (IPS) คาด COD ต้นปี 2567 ,โครงการพลังน้ำเซกอง 4A &4B สปป.ลาว คาดลงนามซื้อขายไฟฟ้า (PPA) อย่างช้าไม่เกินไตรมาส 1/2567
นอกจากนี้ ความคืบหน้าการลงทุนซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าไพตัน บริษัทฯ คาดหวังจะดำเนินการชำระเงินและโอนหุ้นแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 1/2567 ส่วนโรงไฟฟ้าราชบุรี (RG) ในปี 2568 ที่จะสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ปัจจุบันบริษัทฯ เตรียมสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามาทดแทน
นางสาวชูศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมุ่งเน้นที่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 10 ปีข้างหน้า มีการตั้งเป้าหมายที่จะสร้างและพัฒนาการให้ได้ตามแผนของบริษัท โดยมุ่งมั่นที่จะรักษากำลังการผลิตเพื่อรักษารายได้ให้เติบโตต่อเนื่องและมั่นคง ซึ่งในปี 2566 กำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่ 741.52 เมกะวัตต์ และในปี 2567 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 459.06 เมกะวัตต์ ทั้งนี้บริษัทได้มีการเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศไทยอีก 2 โครงการที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีปลายปี 2567 เพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการขยายฐานธุรกิจไปยังต่างประเทศอีกหลายประเทศ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 โคงการในสปป.ลาว ที่คาดว่าจะสามารถลงนาม CA และ PPA ได้ภายในปีนี้หรืออาจไม่เกินไตรมาส 1 ปี 2567, โรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศอินโดนีเซีย, โรงไฟฟ้าในประเทศฟิลิปปินส์ที่บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะขยายโครงการเพิ่มเติมอีกหลายโครงการ และโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามและออสเตรเลีย ที่คาดว่าจะสามารถ COD ได้ภายในปี 2569
อีกทั้งยังมีโครงการ Non Power ที่เป็นธุรกิจใหม่ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสีชมพูที่ได้มีการเริ่มทดสอบระบบอยู่ในขณะนี้ และโครงการที่เป็นส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567 ทั้งยั้งมีในส่วนของโครงการมอเตอร์เวย์ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2568
“ส่วนกรณีที่รัฐมีการปรับลดค่าไฟฟ้าโดยปรับค่า Ft ลงนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทมากนัก เนื่องจากมีสัดส่วนโรงไฟฟ้า SPP เพียง 20% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้มีสัดส่วนขายไฟลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) กระทบในแง่รายได้ราว5% ของรายได้รวมทั้งหมด อย่างไรก็ตามขณะนี้ ราคาต้นทุนก๊าซฯที่ไม่สูงมากนัก ทำให้บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรที่ดีต่อเนื่อง” นางสาวชูศรี กล่าว
ด้าน นางสาววดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน RATCH เปิดเผยว่า บริษัทวางงบลงทุนในปี 2567 บริษัทได้ตั้งเป้าอยู่ที่ 15,000-30,000 ล้านบาท แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มโครงการที่พิจารณาแล้วว่ามีความน่าสนใจอย่างไร เงื่อนไขเป็นไปตามที่กลุ่มบริษัทตั้งไว้มากน้อยเพียงใด ในส่วนนี้บริษัทได้มีการจัดเตรียมเงินลงทุนไว้เพียงพอสำหรับการลงทุนแล้ว ซึ่งเป็นโครงการที่จัดอยู่ในกลุ่มของ Nexif ในส่วนนี้ก็จะเป็นโครงการวินด์ฟาร์มและโซลาร์ฟาร์มที่เน้นกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันนออกฉียงใต้เป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะสามารถทยอยรับรูรายได้ได้ในอนาคต
“ดังนั้นเชื่อว่า EBITDA ในปี 2567 ยังเติบโตต่อ เนื่องจากบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5% ในทุกปีที่ผ่านมา พร้อมกับประเมินว่า EBITDA จะสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ในอนาคต” นางสาววดีรัตน์ กล่าว