KISS ลุยตลาดดิจิทัลขยายฐานลูกค้าจีน ตั้งเป้า 3-5 ปีหน้ายอดขายแตะ 3 พันล้าน
KISS ลุยทำการตลาดดิจิตอลขยายฐานลูกค้าจีน มั่นใจไตรมาส 4/66 เติบโตแข็งแกร่ง ตั้งเป้ายอดขาย Double-Digit แตะ 3,000 ล้าน ใน 3-5 ปีข้างหน้า
นางสาวกิติยา เฉลิมปกิตตินันท์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS เปิดเผยถึงผลประกอบการ และภาพรวมการดำเนินงานของบริษัท ในงานงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน “Opportunity Day” ว่า ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 66 บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้ และกำไรต่อเนื่อง
โดยมีรายได้อยู่ที่ 684.6 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เติบโตหลักๆ มาจาก Domestic Sales ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 26% จากปีที่แล้ว โดยมาจากรายได้ของ สกินแคร์แบรนด์ “Rojukiss” และแบรนด์เครื่องสำอางค์ “Sis2Sis”
นอกจากนั้นยังมีการทำ E-commerce เต็มรูปแบบซึ่งมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมีอัตราการเติบโต 9 เดือนแรกอยู่ที่ 103% มาจากการทำ Social E-commerce ผ่านการไลฟ์สตรีมมิ่งผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ TikTok Live, Lazada Live และ Shoppee Live เป็นต้น ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรก net profit อยู่ที่ 104 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราการทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 15.2%
ส่วนในไตรมาส 3/66 ธุรกิจยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวม sell-out เติบโตอยู่ที่ 32% ซึ่งบริษัทเองยังคงเป็นผู้นำของมาร์เก็ตแชร์ ตามหลังเพียงแค่ International Brand และยังคงเป็นผู้นำในกลุ่ม Local Brand ทั้งหมด
สำหรับตลาดต่างประเทศ อินโดนีเซีย มีคู่แข่งทางการค้าค่อนข้างมาก แต่บริษัทฯ ยังเล็งเห็นเทรนด์ที่ค่อนข้างดีในไตรมาส 4/66 และยังคงหากลุ่มเป้าหมายลูกค้าใหม่ๆ ที่จะเข้ามาตอบสนองในตลาดนี้ โดยคาดว่าปีหน้าจะเริ่มเห็นยอดขายจากในอินโดนีเซียกลับมา รวมทั้งตลาดต่างประเทศใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ทำการสำรวจเพิ่มด้วย
ด้านสินค้าที่กำลังพัฒนา บริษัทฯ มีการออกสินค้าที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเป็นสินค้าขายดี คือ Rojukiss Face Eye Neck Cream ซึ่งปัจจุบันมีผลตอบรับที่ค่อนข้างดีจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมี Vit C 17% Serum ที่ได้รับรางวัล “BEST BRIGHTENING SERUM” จากงาน “สุดสัปดาห์ Beauty Awards 2023” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าใหม่ๆ ของบริษัทฯ ตรงใจผู้บริโภค และโดดเด่นในเรื่องนวัตกรรมต่างๆ ในการสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีจากตลาด
ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ ให้ความสำคัญในเรื่องของดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มองว่าเป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้ Rojukiss ยังครองมาร์เก็ตแชร์ที่ค่อนข้างดีในตลาด รวมทั้งการขายสินค้าในรูปแบบออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายที่เติบโตดี โดยในไตรมาส 3/66 บริษัทฯ ได้เจาะตลาดประเทศจีนผ่านช่องทางออนไลน์เรียบร้อยแล้ว และมีแผนที่จะเจาะตลาดประเทศอื่นๆ นอกจากจีนด้วยเช่นกัน
ด้านนางสาววิภาภรณ์ เนียมละออง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน KISS เปิดเผยว่า บริษัทฯ เน้นทำการตลาดดิจิตอล เนื่องจากเป็นแหล่งที่ลูกค้าของแบรนด์เข้าไปหาข้อมูล ประกอบกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อของกลุ่มเป้าหมายที่สนใจช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ ครองอันดับ 3 ในกลุ่ม Facial Moisturizer ในช่องทาง CVS สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในด้านการโปรโมท โฆษณา และประชาสัมพันธ์ ประกอบกับตัวสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
โดยในไตรมาส 4/66 บริษัทฯ จะให้ความสำคัญในการทำการตลาดรูปแบบดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันบริษัทฯ เริ่มมีการขายสินค้าผ่านไลฟ์สตรีมมิ่งในแพลตฟอร์มต่างๆ มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการทำ Affiliate Review ซึ่งมีผลตอบรับที่ดี และยังมีการดึงนักแสดงที่เป็นพรีเซ็นเตอร์มาไลฟ์ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนจีนซึ่งเป็นฐานแฟนคลับที่มาจากพรีเซ็นเตอร์มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความหลากหลายของกลุ่มผู้บริโภคทั้งไทย และต่างประเทศ โดยบริษัทฯ คาดหวังว่าการทำการตลาดในรูปแบบดิจิตอลจะสามารถทำให้บริษัทฯ มีการเติบโตด้านการขายออนไลน์มากยิ่งขึ้น ทั้ง Top-line และ Bottom-line
อย่างไรก็ตามการขายในช่องทางออฟไลน์ก็ยังถือว่าเป็นช่องทางใหญ่ของแบรนด์อยู่เมื่อเทียบกับออนไลน์ โดยมีการขยายหมวดหมู่ของสินค้าในร้านต่างๆ อาทิ H&B Store เช่น Watsons ที่ไม่ได้มีแค่เซรั่มที่ใช้สำหรับบำรุงผิวหน้าอย่างเดียว แต่ยังนำคอนเซ็ปต์ของเซรั่มที่ใช้ในการบำรุงมาบำรุงผิวริมฝีปากด้วย
โดยเพิ่มเข้าไปในหมวดหมู่ของลิปแคร์ ส่งผลให้แบรนด์สามารถขยายเชลฟ์ หรือชั้นวางสินค้าเพิ่ม ที่จากเดิมอาจจะอยู่แค่เชลฟ์สกินแคร์อย่างเดียว ทำให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าของแบรนด์มากขึ้นเช่นเดียวกัน ในส่วนของ Convenient Store มีการนำสินค้าใหม่เข้ามา โดยที่ขยายสินค้าเพิ่มมากขึ้น ทั้ง มาร์กส์ เซรั่ม โฟมล้างหน้า และเครื่องสำอาง
สำหรับตลาดต่างประเทศอย่างจีน บริษัทฯ ได้มีการเจาะตลาดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อที่จะเน้นในการสร้างแบรนด์ โดยเข้าไปในช่องทางออนไลน์หลักของจีน คือ “TMALL” และ “DOUYIN” (TikTok China) ซึ่งมี Shop เรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันก็มี KOL ของจีนมาไลฟ์ขายสินค้าเช่นเดียวกับในไทย โดยสินค้าที่เน้นขาย ได้แก่ มาร์กส์ชีท แต่ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่ขายในเว็บไซต์ด้วย ซึ่งมีผลตอบรับที่ค่อนข้างดี ทำให้ผู้บริโภคได้รู้จักแบรนด์มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการยิง Ad โปรโมทสินค้า รวมไปถึงการไลฟ์เพื่อให้มีการซื้อขายสินค้าเพิ่มมากขึ้นในแพลตฟอร์มออนไลน์
ทั้งนี้ ตลาดเครื่องสำอางทั้งในและต่างประเทศมีการแข่งขันสูง มีทั้ง Local Brand และ International Brand โดยเฉพาะ Local Brand ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ โดยจุดแข็งของบริษัทฯ คือการพัฒนาสินค้า และการสร้างความแตกต่างของสินค้าในตลาด รวมทั้งการนำเทรนด์ใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาสินค้า เช่นเทรนด์ความงามจากเกาหลีใต้ ส่วนประเทศอินโดนีเซีย ในตลาดปัจจุบันเน้นการแข่งขันด้วยเรื่องของราคา พยายามขายสินค้าที่ราคาถูก มีการลดราคา อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงพยายามที่จะหาสินค้าใหม่ๆ ที่แตกต่างเข้าไปในตลาด ซึ่งมีการส่งทีมเข้าไปสำรวจตลาดเพื่อนำมาปรับแผนการดำเนินงาน
โดย บริษัทฯ มองแนวโน้มของไตรมาส 4/66 ในเรื่องของยอดขายคาดว่าจะดีกว่าในไตรมาส 3/66 สำหรับกลุ่มที่เป็นตลาดในประเทศมองว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และคาดว่าจะได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากตลาดต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยในปีหน้าบริษัทฯ มองการเติบโตที่ Double-Digit ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายจะค่อยๆ เติบโต โดยบริษัทฯ คาดหวังที่จะกลับไปในช่วงก่อนโควิด-19 และเติบโตต่อเนื่อง ส่วนในช่วง 3-5 ปี ตั้งเป้ายอดขายที่ 3,000 ล้าน รวมทุกหมวดหมู่สินค้าของบริษัทฯ