ก.ล.ต.เปิดกลยุทธ์ Climate Strategy บริหารพอร์ตช่วงภาวะโลกรวน

ก.ล.ต.เผยแพร่บทความ “Climate Strategy” กลยุทธ์บริหารพอร์ตในภาวะโลกรวน เพื่อช่วยบริหารกองทุนให้มีความยืดหยุ่น แนะตื่นตัวต่อประเด็นความเสี่ยงหรือโอกาสจากสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยแพร่บทความเรื่อง “Climate Strategy” กลยุทธ์บริหารพอร์ตในภาวะโลกรวน โดยกลยุทธ์การลงทุนมีหลายรูปแบบแต่รู้หรือไม่ว่ามีกลยุทธ์การลงทุนที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการเติบโตของเงินลงทุนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ได้ วันนี้ผู้เขียนขอชวนมาทำความเข้าใจกลยุทธ์การลงทุนที่คำนึงถึงความเสี่ยงและโอกาสจาก (climate change) ที่ผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุน อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นต้น

ทั้งนี้สามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการลงทุนของกองทุนรวม, กองทุนส่วนบุคคล, และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อช่วยให้ผลการดำเนินงานของกองทุนมีความยืดหยุ่นต่อผลกระทบจาก (climate change) และเติบโตได้อย่างยั่งยืนสะท้อนการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ และนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุนในฐานะผู้รับบริหารจัดการทรัพย์สินของผู้ลงทุน

ความเสี่ยง โอกาสและกลยุทธ์การลงทุนพิชิต climate change

โดยอาจกล่าวได้ว่าหนึ่งในความเสี่ยงหลักของธุรกิจจัดการลงทุนคือการละเลยของผู้บริหารจัดการลงทุนในการพิจารณาปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ ซึ่งความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate risk) เป็นความเสี่ยงทางการเงินที่มิอาจละเลยได้ เพราะสามารถส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของกิจการที่กองทุนลงทุน

ทั้งนี้การที่ผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุนคำนึงถึงความเสี่ยงและโอกาสจาก (climate change) ของกิจการที่กองทุนลงทุนนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงให้แก่ทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการแล้วยังถือว่าเป็นการลดความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุนเองด้วย “Strategy” หนึ่งในองค์ประกอบหลัก (pillar) ภายใต้กรอบคำแนะนำของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures : TCFD) และ International Sustainability Standards Board (ISSB)

โดยเป็นคณะทำงานและหน่วยงานที่ดูแลด้านมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนของบริษัท ตามลำดับ โดย TCFD และ ISSB ได้แนะนำให้ผู้บริหารจัดการลงทุนดำเนินการเพื่อลดผลกระทบของ climate change ต่อทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ ดังนี้

1) ผนวกความเสี่ยงและโอกาสจาก (climate change) ในกลยุทธ์การลงทุน หรือผลิตภัณฑ์การลงทุน

2) คำนึงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่มีต่อกลยุทธ์การลงทุน หรือผลิตภัณฑ์การลงทุน

นอกจากนี้แต่ละกลยุทธ์การลงทุนหรือผลิตภัณฑ์การลงทุนอาจได้รับความเสี่ยงและโอกาสจาก (climate change) ในรูปแบบและระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เขียนจึงขอหยิบยกบางวิธีการที่ผู้บริหารจัดการลงทุนสามารถนำไปใช้ในการ  ระบุประเด็นความเสี่ยงและโอกาสจาก (climate change) ในการบริหารจัดการลงทุนตามแนวทางของ TCFD ดังนี้

วิธีการเชิงคุณภาพ (Qualitative approach) : การระบุกลุ่มอุตสาหกรรมที่มี climate risk สูง  เพื่อประเมินว่ากองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวหรือไม่ โดยผู้บริหารจัดการลงทุนอาจพิจารณาผลกระทบ

ต่อกิจการในห่วงโซ่ทางธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ด้วย เพื่อให้การวิเคราะห์มีความครอบคลุมยิ่งขึ้นวิธีการเชิงปริมาณ (Quantitative approach) : การใช้การจัดอันดับ climate risk ของกิจการ ที่อาจจัดทำโดยบุคคลที่ 3 เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อกองทุนหากลงทุนในกิจการที่มี climate risk สูงกว่ากิจการอื่น ๆ

วิธีการพิจารณาตามประเภททรัพย์สินต่าง ๆ (Asset class approach) อาทิ

ตราสารทุน และตราสารหนี้ของภาคเอกชน: การประเมินผลกระทบทางการเงินของกิจการจากความเสี่ยงด้านกายภาพ (physical risk) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (transition risk)  พร้อมกับการพิจารณากลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการ และการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อพิจารณาการตอบสนองต่อ climate risk

ตราสารหนี้ภาครัฐ: การพิจารณาอันดับประเทศตามดัชนีการเกิดคาร์บอน (carbon intensity) หรือสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศที่ออกตราสาร

Active หรือ Passive Fund ก็บริหารจัดการ climate risk ได้เช่นกัน

โดยกองทุนอาจมีแนวทางการบริหารแบบเชิงรุก (active) หรือเชิงรับ (passive) ตามกลยุทธ์ที่ผู้บริหารจัดการลงทุนใช้ในการบริหารจัดการกองทุนนั้นๆ แต่ไม่ว่าจะบริหารแบบ active หรือ passive ก็สามารถบริหารจัดการ climate risk ของกองทุนได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น

  • กรณี Active Fund : อาจมีการให้น้ำหนักการลงทุนเน้นไปยังกิจการที่มีความก้าวหน้าด้านการลด

การปล่อยคาร์บอน และลดน้ำหนักการลงทุนในกิจการที่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

  • กรณี Passive Fund : อาจใช้ดัชนีอ้างอิง (index) ที่สอดรับกับเป้าหมายด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เช่น Paris Aligned Benchmark เป็นต้น หรือการลงทุนในตราสารหนี้สีเขียว (Green bonds) ที่มีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุน เพื่อช่วยลดปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้สามารถศึกษาแนวทางการผนวกโอกาสและความเสี่ยงจาก (climate change) และตัวอย่างเพิ่มเติมได้จากคู่มือเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารจัดการและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศสำหรับผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุน และภาคผนวกรวมทั้ง TCFD Recommendations ฉบับภาษาไทย ที่เว็บไซต์ของ ก.ล.ต.

นอกจากนี้ (climate change) เริ่มส่งผลกระทบที่เด่นชัดและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานำมาซึ่งการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจึงถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนจึงหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุนมีความตื่นตัวต่อประเด็นความเสี่ยงและโอกาสจากสถานการณ์ที่เกี่ยวกับ (climate change) ที่เป็นสาระสำคัญต่อการปกป้อง

ทั้งนี้ทรัพย์สินของผู้ลงทุนจากความเสี่ยงดังกล่าวพร้อมไปกับการพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนในกิจการที่มีส่วนช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สะท้อนการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ และช่วยให้เราสามารถส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้คนรุ่นถัดไปได้

Back to top button