SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยปี 67 โต 3.5% รับส่งออกฟื้น-นโยบายรัฐหนุน

SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยปี 67 เติบโตต่อเนื่อง 3.5% รับส่งออกฟื้นตัว และลงทุนภาคเอกชนขยายตัวรวมถึงนโยบายภาครัฐหนุน โดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เปิดเผยว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2567 จะเติบโตได้ใกล้เคียงปีนี้อยู่ที่ 2.3% ซึ่งเติบโตชะลอลงจาก 3% ในปี 2566 กลุ่มประเทศต่างๆ โดยมีแนวโน้มฟื้นตัวไม่พร้อมกัน (Unsynchronized) ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯยังขยายตัวได้อยู่แม้จะเผชิญดอกเบี้ยขึ้นแรงต่อเนื่องจนมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี และเศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตดีขึ้นจากภาคบริการและแรงสนับสนุนของนโยบายเงินผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ภูมิภาคเอเชียจะยังเติบโตต่อเนื่องขณะที่เศรษฐกิจยุโรปและจีนกลับเห็นสัญญาณขยายตัวชะลอลงโดยเฉพาะภาคการผลิต ซึ่งในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยงส่งผลให้ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่สูง อาทิ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้าจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่ใช้เวลาแก้ไข และภาคอสังหาริมทรัพย์จีนที่ซบเซาส่งผลลบต่ออุปสงค์ภายในประเทศ

โดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่อาจเร่งตัวตามการลดอุปทานน้ำมันของ OPEC+ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจยืดเยื้อรุนแรงขึ้นรวมถึงภัยแล้งจากเอลนีโญที่อาจทำให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นและผลกระทบจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินโลก นอกจากนี้จะยังมีความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกประเทศที่อาจส่งผลกระทบมายังความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยได้ในทางหนึ่ง

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในประเทศอีกด้วยแม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศจะปรับลดลงหลังจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 แต่เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังไทยของรัฐบาลชุดใหม่

ขณะที่นโยบายระยะสั้นและระยะยาวสำหรับความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินปรับลดลงบ้างหลังคณะกรรมการนโยบายการเงินสื่อสารไว้ในการประชุมปลายเดือนกันยายน 2566 เปิดเผยว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจนถึงระดับ 2.5% เป็นระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวแล้ว

อีกทั้ง SCB EIC ได้สร้างดัชนีสะท้อนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยขึ้นและพบว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยกลับมาปรับสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งดัชนีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยในงานศึกษาคำนวณได้จากความแปรปรวนแบบมีเงื่อนไข (Conditional variance) ของข้อมูล GDP ไทย โดยใช้แบบจำลองเศรษฐมิติและนำมาแปลงให้อยู่ในรูปดัชนีมีค่าในช่วง 0 – 100 ผลศึกษาพบว่า ดัชนีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงปี 2536 – 2562 (ก่อนเกิดวิกฤตโควิด) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 35 หน่วย

โดยในช่วงวิกฤตโควิดดัชนีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 61 หน่วย ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนช่วงเกิดโควิดถึง 76% สำหรับในปี 2567 ประเมินว่าดัชนีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยจะปรับลดลงเล็กน้อยโดยมีค่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 43 หน่วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิดถึง 24% ทั้งนี้ SCB EIC วิเคราะห์ปัจจัยที่จะส่งผลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม อาทิ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ ดังนี้

1.ปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่สูงขึ้นในช่วงหลังวิกฤตโควิด อันเนื่องมาจากความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยที่ยังมีอยู่ สำหรับดัชนีความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ขณะที่ SCB EIC ได้นำข้อมูล Geopolitical risk index จากฐานข้อมูลของ matteoiacoviello.com มาใช้สะท้อนความไม่แน่นอนจากตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งปรับสูงขึ้นมากอย่างชัดเจนตั้งแต่เกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนช่วงต้นปี 2565 และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง รวมถึงสถานการณ์โลกแบ่งขั้วระหว่างกลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ และจีนที่เห็นชัดขึ้นในช่วงหลัง

2.ปัจจัยภายในประเทศ อาทิ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ โดยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจมหภาคแบ่งออกเป็น ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ซึ่งการสร้างดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลัง SCB EIC ได้นำความแปรปรวนแบบมีเงื่อนไขของข้อมูลการอุปโภคบริโภคของภาครัฐและการลงทุนภาครัฐมาใช้เป็นตัวสะท้อน

ทั้งนี้เพื่อการสร้างดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินได้นำความแปรปรวนแบบมีเงื่อนไขของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท Minimum Loan Rate (MLR) เพื่อใช้เป็นตัวสะท้อน ซึ่งจะเห็นว่าแม้ความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าอดีตค่อนข้างมากแต่ได้ปรับสูงขึ้นในช่วงวิกฤตโควิดและช่วงการทยอยปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติ

นอกจกานี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ SCB EIC ได้นำข้อมูล Conflict and mediation event observations จาก GDELT project ซึ่งสร้างขึ้นจากข่าวเหตุการณ์ประท้วงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในไทยเป็นตัวแทนของดัชนีความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งพบว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยปรับสูงขึ้นในช่วงปี 2563

อีกทั้งส่วนหนึ่งจากเหตุการณ์ประท้วงของผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่ไม่สนับสนุนการทำงานรัฐบาลและศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ดัชนีความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศปรับลดลงในปี 2023 ซึ่งมีการเลือกตั้งใหม่และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

ขณะที่ SCB EIC วิเคราะห์การส่งผ่านความไม่แน่นอนสู่เศรษฐกิจไทย 4 ด้านต่อดัชนีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ โดยใช้ Generalized additive model ในช่วงข้อมูลตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2536 ถึงไตรมาส 2 ปี 2566 พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ ดังนี้

1.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่มาจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายในประเทศซึ่งคิดเป็น 52% ของความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยตลอดช่วงศึกษา โดยแบ่งเป็นความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน 23% ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลัง 18%

รวมไปถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ 11% สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศส่งผลต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยราว 38% ส่วนใหญ่มาจากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลก 28% และราว 10% มาจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่วนที่เหลือราว 10% มาจากปัจจัยอื่นๆ

2.ความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกประเทศที่มีบทบาทสูงในช่วงโลกเกิดวิกฤตและส่งผลผลเชื่อมโยงมาสู่ไทย อาทิ ช่วงวิกฤตหนี้ในยุโรปช่วงปี 2555 -2556 จากเหตุการณ์ Taper tantrum ในปี 2556 และช่วงวิกฤตโควิดตั้งแต่ปี 2563

3.มองไปในปี 2567 ดัชนีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตจากปัจจัยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลกและนโยบายการคลัง ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะมีผลส่งผ่านมายังการส่งออกและการลงทุนเอกชนไทย ขณะที่นโยบายการคลังยังมีความไม่แน่นอนจากขนาดและผลกระทบของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital wallet)

นอกจากนี้ ปัจจัยความไม่แน่นอน 4 ด้านยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่องทางแตกต่างกันโดย SCB EIC ได้ศึกษาการวิเคราะห์การตอบสนองขององค์ประกอบ GDP จากแรงกระตุ้น (Impulse response analysis) กำหนดให้ “แรงกระตุ้น” ของตัวแปรความไม่แน่นอนแต่ละด้านในขนาด 1 S.D. ด้วยแบบจำลองทางเศรษฐมิติ โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2536 ถึง ไตรมาส 4 ปี 2562  พบปัจจัยดังนี้

1.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นจะกระทบการส่งออกสินค้าไทยทันที -2.1% เมื่อเทียบผลการดำเนินงานไตรมาสต่อไตรมาสอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กที่พึ่งพาอุปสงค์ต่างประเทศในการส่งออกสินค้าสูงราว 60% ของ GDP

2.ความไม่แน่นอนของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อส่งออกสินค้าเพียง -0.01% เมื่อเทียบผลการดำเนินงานไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโลกมีผลต่อการส่งออกไทยจำกัด เนื่องจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้เกิดขึ้นรุนแรงในบริเวณใกล้เคียงประเทศไทย อาทิ ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน-สหรัฐ ทั้งนี้ยังไม่ได้กระทบการส่งออกไทยโดยตรง

3.ความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายการคลังที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชนที่ -1.5% เมื่อเทียบผลการดำเนินงานไตรมาสต่อไตรมาส โดยความไม่แน่นอนของการใช้จ่ายภาครัฐจะมีผลให้ประชาชนใช้จ่ายลดลงทันที -1.0% เมื่อเทียบผลการดำเนินงานไตรมาสต่อไตรมาสอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

4.ความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนลดลงสะสม -0.8% เมื่อเทียบผลการดำเนินงานไตรมาสต่อไตรมาส โดยความไม่แน่นอนของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ความไม่แน่นอนของต้นทุนการกู้ยืมเงินและผู้กู้เพิ่มขึ้นทำให้ผู้กู้รายใหม่ตัดสินใจชะลอการลงทุน ซึ่งส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนลดลงต่อเนื่องอีก 3 ไตรมาสจึงจะกลับเข้าสู่ระดับเดิมได้

5.ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น (ระดับความรุนแรงใกล้เคียงเหตุประท้วงปี 2549, 2551 และ 2556 โดยจะส่งผลให้การส่งออกภาคบริการของไทยลดลง -1.7% ในไตรมาสถัดมา เมื่อเทียบผลการดำเนินงานไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก และทิศทางสอดคล้องกับผลศึกษาของ Luangaram & Sethapramote 2561

อย่างไรก็ดีจากผลศึกษางานนี้อาจแตกต่างไปบ้างเนื่องจากปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวไทยยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดและรายจ่ายนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อคนจึงยังอยู่ในระดับต่ำกว่าในช่วงก่อนหน้าปี 2563 อยู่มาก

โดย SCB EIC ประเมิน (14 กันยายน 2566) ว่า ในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องที่ 3.5% และกลับไปแตะระดับศักยภาพเดิมได้ในช่วงต้นปี ซึ่งมีการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 จะเพิ่มเป็น 37.7 ล้านคน และทยอยฟื้นตัวเข้าใกล้ระดับก่อนโควิดที่ 40 ล้านคน

ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนและค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่อคนอาจถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนภายใต้แนวโน้มการแข่งขันกันดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศปลายทางอื่นๆ และนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาลใหม่ อาทิ นโยบายฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ รวมถึงการขยายศักยภาพบริการภาคพื้นดินของสนามบิน

ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปีหน้ารวมถึงการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้า นวมถึงภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment : BOI) และความเชื่อมั่นทางธุรกิจในระยะข้างหน้าที่ปรับดีขึ้นหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

โดยแนวโน้มการส่งออกที่จะกลับมาฟื้นตัวเติบโตเป็นบวกได้ในปีหน้า และ SCB EIC ประเมินมูลค่าส่งออกไทยปี 2567 จะกลับมาขยายตัวได้ 3.5% จากทิศทางการค้าโลกที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้บ้างและปัญหาคอขวดอุปทานคลี่คลายลงรวมไปถึงการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 4.4% จากแนวโน้มการอนุมัติการลงทุนของ BOI และการส่งออกที่กลับมาฟื้นตัว

ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี 2567 อาจมีปัจจัยบวกจากความไม่แน่นอนของนโยบายการคลัง โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ผ่านโครงการ Digital wallet ซึ่งจากการแถลงปรับเงื่อนไขโครงการเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 กำหนดกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมคนไทย 50 ล้านคน และวงเงินโครงการประมาณ 500,000 ล้านบาท (ราว 3% ของ Nominal GDP) ซึ่ง SCB EIC ได้ประเมินว่าอาจกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตได้สูงเกิน 5% ชั่วคราว

อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยอาจกลับมาเติบโตในระดับศักยภาพตามเดิมหากโครงการฯ นี้ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้มากและนานหลายปีตามเจตนารมณ์แรกเริ่มเนื่องด้วยรัฐบาลจะออกร่าง พ.ร.บ. เงินกู้สำหรับใช้เป็นแหล่งเงินของโครงการฯ นี้

ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่ามาตรการกระตุ้นการคลังครั้งใหญ่จะทำให้ปริมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระยะปานกลางสูงเกินเพดานหนี้สาธารณะ 70% ต่อ GDP เร็วขึ้น 2 ปีจากเดิมในปี 2573  อีกทั้งจะส่งผลให้พื้นที่การคลังของประเทศสำหรับรองรับความไม่แน่นอนต่างๆ ในระยะข้างหน้ามีน้อยลง

โดยแม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องแต่ก็อาจจะต้องเผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน  อาทิ ความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังไทยของรัฐบาลชุดใหม่ทั้งจากกรอบนโยบายระยะสั้นและระยะปานกลาง รวมถึงความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสโลกแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญมากขึ้น SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงและมีโอกาสจะเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำมากกว่าความเสี่ยงด้านสูง

นอกจากนี้รัฐบาลควรมีแนวทางเชิงรุกในการกำหนดนโยบายสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนและการต้านทานต่อความไม่แน่นอนด้วยการมุ่งสร้างกลไกการเติบโตใหม่รวมถึงเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจาก 2 แนวทางหลัก ดังนี้

1.การเติบโตที่นำโดยนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation and technology-led growth) อาทิ การผลักดันการวิจัยและพัฒนา, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, การศึกษาและการพัฒนาทักษะ, และการสนับสนุนระบบนิเวศสตาร์ทอัพ

2. แนวทางปฏิบัติเศรษฐกิจยั่งยืน (Sustainable economic practices) อาทิ นโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว, การริเริ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน, และนโยบายตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม โดยทั้ง 2 แนวทางหลักนี้จะเป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่แข็งแกร่ง, ยืดหยุ่น, และพร้อมเผชิญความไม่แน่นอนทุกรูปแบบได้ในอนาคต

Back to top button