IRPC เปิดแผนกลยุทธ์ปี 67 ลุยแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจน้ำมัน-ปิโตรฯเต็มสูบ

IRPC กางแผนปี 67 ลุยแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจน้ำมัน-ปิโตรฯเต็มสูบ พ่วงรุกขยายพอร์ตลงทุนใหม่พุ่งเป้า Health & Wellness จับตา! ชงบอร์ดเคาะแผนลงทุนปีหน้า 19 ธ.ค.นี้ ฟากโครงการ UCF พร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ 25 ธ.ค.นี้ เร็วกว่ารัฐประกาศใช้ภายใน 1 ม.ค.67 ด้านราคาน้ำมันดิบดูไบปีหน้าคาดอยู่ที่ 75-78 เหรียญ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีคาดสเปรดปรับตัวสูงขึ้น


นายกฤษณ์  อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า IRPC เปิดแผนกลยุทธ์ธุรกิจปี 2567 เดินหน้าแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจหลักทั้งน้ำมัน,ปิโตรเคมี,ท่าเรือและอสังหาฯ ด้วยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษที่มีโอกาสเติบโตสูง พร้อทรุกขยายพอร์ตลงทุนใหม่พุ่งเป้าธุรกิจโรงพยาบาลและที่พัก เพื่อสุขภาพ (Health & Wellness) สีและสารเคลือบ (Paint & Coating) และเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี 2060

สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างความแข็งแกร่งและต่อยอดจากธุรกิจหลัก (Core Uplift) มีดังนี้ ธุรกิจปิโตรเลียม (Domestic first) 1. ขยายระบบโลจิสติกส์ขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยขยายคลังน้ำมันแห่งใหม่ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อความยาว 99 กิโลเมตร ร่วมกับ บริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิง ทางท่อและโลจิสติกส์ จำกัด หรือ BFPL เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานภาคขนส่งในภาคกลางและภาคเหนือ ช่วยให้การดำเนินงาน และการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการขนส่ง และ 2. โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและคุณภาพน้ำมันดีเซล ยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project หรือ UCF) มีความพร้อมผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 หรือน้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันต่ำเชิงพาณิชย์ในวันที่ 25 ธ.ค.นี้ เร็วกว่านโยบายของภาครัฐประกาศใช้ภายใน 1 ม.ค.67 คาดช่วยสร้างมูลค่าและรายได้เพิ่มให้กับบริษัทฯ

ด้านธุรกิจปิโตรเคมี (Specialty Boost) ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ “POLIMAXX” ได้แก่ 1. เม็ดพลาสติก พีพี เมลต์โบลน (PP Melt Blown) สำหรับผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยที่มีคุณภาพ เช่น หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ ชุด PPE ผ้าอ้อมเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงแผ่นกรองต่างๆ 2.เม็ดพลาสติก พีพีอาร์ (PPR: PP random copolymer pipe) มีคุณสมบัติที่แข็งแรงทนต่อแรงขีดข่วนและแรงดัน ทนต่อสารเคมีได้มากกว่าท่อน้ำประปาทั่วไป มีความปลอดภัยสูง ผลิตจากเทคโนโลยีแบบไร้สารทาเลต (Non Phthalate) เหมาะสำหรับผลิตท่อน้ำร้อนน้ำเย็นในครัวเรือนและในโรงงานอุตสาหกรรม และ 3.เม็ดพลาสติก HDPE 100-RC สำหรับผลิตท่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีคุณสมบัติทนแรงกระแทกได้ดีมาก มีอายุการใช้งานนานกว่า 100 ปี ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาก่อสร้าง

ส่วนธุรกิจท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ (Maximize Infrastructure & Asset Utilization) บริษัทฯมีความพร้อมให้บริการท่าเทียบเรือน้ำลึกเพื่อขนถ่ายสินค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รองรับการขนส่งของแต่ละภูมิภาค ได้แก่ ท่าเรือคอนเทนเนอร์และสินค้าทั่วไป (Bulk & Container Terminal) ท่าเรือปิโตรเคมีและปิโตรเลียมเหลว (Liquid & Chemical Terminal)

นอกจากนี้บริษัทฯได้พัฒนาพื้นที่ให้เป็นที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรองรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) รวมถึงโครงการตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐและเอกชน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ โครงการเขตประกอบการอุตสาหกรรม ไออาร์พีซี จ.ระยอง โครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHAIER) อ.บ้านค่าย จ.ระยอง และที่ดินพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา

ส่วนแผนรุกขยายพอร์ตลงทุนใหม่ (Step up and beyond) บริษัทฯได้วางกลยุทธ์ไปสู่การลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health & Wellness) ร่วมกับโรงพยาบาลบางปะกอกและโรงพยาบาลปิยะเวท ศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ ในพื้นที่ศักยภาพของบริษัทฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชนในพื้นที่ จ.ระยอง และจังหวัดใกล้เคียง และธุรกิจสีและสารเคลือบ (Paint & Coating) ร่วมกับ บริษัท เบเยอร์ จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบมาตรฐานโลกเป็นครั้งแรกของประเทศ ด้วยส่วนผสม Polytetrafluoroethylene (PTFE) ที่มีคุณสมบัติพิเศษมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ช่วยยืดอายุการใช้งานโครงสร้างเหล็กถึงสามเท่า เพื่อใช้เคลือบโครงสร้างเหล็กในโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมีสนามบิน ท่าเรือและสะพาน เป็นต้น

นอกจากนี้บริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและอาหารเสริมพืช “ปุ๋ยหมีขาว” ภายใต้เครื่องหมายการค้า “REINFOXX” เพิ่มอีก 4 สูตร เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ต่อผลิตผลและสิ่งแวดล้อม โดยได้ขยายตลาดในประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้เกษตรกรไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกันบริษัทฯยังคงดำเนินนโยบายธุรกิจแบบระมัดระวัง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการลดต้นทุนพลังงานจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ จึงจำเป็นที่บริษัทฯ พร้อมทบทวนการลงทุนและสร้างโอกาสที่คุ้มค่า มุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง ขณะเดียวกันก็รักษาวินัยและสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างเพียงพอ

นอกจากนี้บริษัทฯยังเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดขยายกำลังการผลิตโครงการโซลาร์ลอยน้ำหรือ Floating Solar เพิ่มขึ้นอีก 8.5  เมกะวัตต์  และบูรณาการความยั่งยืนเข้าไปในธุรกิจ มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 ปี 2030 บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ปี 2060 เร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ ปี 2065

นายกฤษณ์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในไตรมาส 4/66 คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 85-88 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนในปี 67 คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75-78 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนปี 2567 ธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าสเปรดจะปรับตัวสูงขึ้น โดยคาด ABS-Naphtha อยู่ที่ 680-720 เหรียญต่อตัน และ HDPE- Naphtha อยู่ที่ 400-450 เหรียญต่อตัน และ PP-Naphtha อยู่ที่ 400-450 เหรียญต่อตัน

อย่างไรก็ตามบริษัทยังติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องโดยถึงวันนี้ราคาน้ำมันดูไบอยู่ที่ระดับ 75 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้คาดการณ์ราคาน้ำมันในปี 67 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75-78 เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามทิศทางเศรษฐกิจโลก และภายหลังโอเปกพลัสได้พร้อมใจกันลดกำลังผลิตน้ำมันลงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาตลาดก็ไม่ได้ขานรับ และราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลงทำให้ต้องรับมือกับภาวะดังกล่าว ดังนั้นบริษัทจึงวางแผนกลยุทธ์ลงทุนในปีหน้าและในธุรกิจใหม่ ๆ รวมทั้งธุรกิจหลักคือ ปิโตรเคมีและการกลั่นจะต้องสร้างความเข้มแข็งให้ไปต่อได้ในภาวะตลาดที่ผันผวนในปีหน้า โดยแผนธุรกิจใหม่ในปี 2567 คาดว่าจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณางบประมาณในการลงทุนในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ หรือในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนนี้

Back to top button