“ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ” พ.ย. ปรับตัวเพิ่มรอบ 5 เดือน รับท่องเที่ยว-ส่งออก-บริโภคหนุน
“ส.อ.ท.” เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนพ.ย.66 ระดับ 90.9 เพิ่มขึ้นครั้งแรกรอบ 5 เดือน รับท่องเที่ยว-บริโภคในประเทศ-ภาคส่งออกหนุน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนพ.ย.66 อยู่ที่ระดับ 90.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 88.4 ในเดือนต.ค.66 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ซึ่งเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของค่าดัชนีฯ พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีฯ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน โดยการปรับราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมา และมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกร ช่วยเพิ่มกำลังซื้อประชาชน ส่งผลให้การบริโภคและการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น สะท้อนจากดัชนีคำสังซื้อและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าคงทน อาทิ รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ ตู้เย็น และสินค้ากึ่งคงทน อาทิ สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เป็นต้น รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค
ขณะที่ภาคการส่งออกก็มีทิศทางดีขึ้น เนื่องจากอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าทยอยฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้ภาคการผลิตเร่งตัวขึ้น เพื่อรองรับคำสั่งซื้อและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในเทศกาลช่วงปลายปี นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่ปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรถยนต์ที่กดดันกำลังซื้อของประชาชน ตลอดจนความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 97.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 94.5 ในเดือนต.ค. โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ e-Refund และโครงการฟรีวีซ่า รวมถึงมาตรการอื่น ๆ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลต่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ที่ยังกดดันการฟื้นตัวของภาคการส่งออก ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และวัตถุดิบต่างๆ
ทั้งนี้ นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มว่า ผู้ประกอบการยังมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
- ขอให้พิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) งวดที่ 1 ของปี 67 (ม.ค.-เม.ย.) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงเร่งปรับโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้
- เสนอให้ภาครัฐพิจารณาขยายเวลามาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาท/ลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.66 รวมถึงมาตรการลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินลง 2.50 บาท/ลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ม.ค.67 เพื่อช่วยลดภาระให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ
- ขอให้ภาครัฐเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ โดยเฉพาะสินค้าออนไลน์ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค รวมทั้งสกัดกั้นการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ