“เศรษฐา” จัดแพ็กเกจใหญ่แก้หนี้ 10.3 ล้านราย เน้นพักหนี้-ลดดอก-ยืดผ่อนจ่าย

“เศรษฐา” จัดแพ็กเกจใหญ่แก้หนี้ทั้งระบบ 10.3 ล้านราย เน้นพักหนี้-ลดดอกเบี้ย-ปรับโครงสร้าง-ขยายเวลาผ่อนจ่าย อาทิ หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคล ปรับโครงสร้างหนี้ผ่านคลินิก-ผ่อนได้ 10 ปี-ลดดอกเบี้ยค้างชำระ ส่วนลูกหนี้กยศ.ปรับแผนการผ่อนจ่าย-ลดดอกเบี้ย-ถอนอายัดบัญชี-หลุดการค้ำประกัน พร้อมสั่งยกเลิกสถานะหนี้เสีย SME รับผลกระทบโควิด พ่วงพักหนี้เกษตรกร 3 ปีทั้งต้น-ดอกเบี้ยวงเงินหนี้ไม่เกิน 3 แสนบาท/ราย


นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงภาพรวมกลุ่มลูกหนี้ในระบบและสาเหตุของปัญหาว่า เพื่อให้เห็นภาพแนวทางการแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้ที่ชัดเจน ขอแบ่งกลุ่มลูกหนี้ในระบบที่ประสบปัญหา ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 คือ ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19, กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมาก จนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้, กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้การชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง และกลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่เป็นหนี้เสียคงค้างเป็นระยะเวลานาน

โดยทุกกลุ่มมีข้อสังเกตที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ ลูกหนี้ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลายเป็นหนี้เสีย เมื่อเป็นหนี้เสียก็ถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับเพิ่ม และวนกลับไปทำให้ชำระไม่ไหวอีก วงจรแบบนี้ส่งผลให้ติดเครดิตบูโร ไม่สามารถขอสินเชื่อในระบบต่อได้  หรือบางรายที่ค้างชำระเป็นเวลานาน  ก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย

แม้ว่าลูกหนี้ทุกกลุ่มจะมีสภาพปัญหาคล้ายกัน แต่ต้นตอของปัญหานั้นต่างกัน ดังนั้น รัฐบาลจึงเตรียมแนวทางช่วยเหลือที่แตกต่างกันตามสาเหตุของปัญหา เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กลุ่มนี้ โดยปกติจะมีประวัติการชำระหนี้มาโดยตลอด  แต่สถานการณ์โควิดทำให้ธุรกิจต้องสะดุดหยุดลง  ขาดสภาพคล่อง จนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ อีกส่วนหนึ่งบางรายเป็นหนี้ครั้งแรกในช่วงโควิด เพราะต้องการเงินทุนไปหมุนเวียน แต่สุดท้ายกลายเป็นหนี้เสียจนไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อได้ กลุ่มนี้จะต้องได้รับการช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย  หรือได้รับการพักชำระหนี้เพื่อผ่อนปรนภาระเป็นการชั่วคราว

สำหรับลูกหนี้รายย่อย  ซึ่งส่วนใหญ่มีหนี้เสียกับธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส.  รัฐบาลจึงกำหนดให้ธนาคารทั้งสองแห่งติดตามทวงถามหนี้ตามสมควร  และให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้กลุ่มนี้  เพื่อให้ไม่เป็นหนี้เสียอีกต่อไป โดยคาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในกลุ่มนี้ ได้ประมาณ 1.1 ล้านราย ส่วนลูกหนี้ SMEs  สถาบันการเงินของรัฐจะเข้าไปช่วยเหลือผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้  และพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ SMEs ที่อยู่กับแบงค์รัฐ  ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เป็นระยะเวลา 1 ปี  โดยคาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้ SMEs เหล่านี้  ได้ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 99  ของจำนวนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียในกลุ่มนี้ นับเป็นจำนวนกว่า 100,000 ราย

ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 SME 3 ล้านราย

– ยกเลิกสถานะหนี้เสีย (NPL)

– พักชำระหนี้ลูกหนี้รายย่อย

– ปรับโครงสร้างหนี้ และลดดอกเบี้ย 1%

กลุ่มที่ 2 ลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมากจนเกินศักยภาพ  โดยอาจจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร ที่มักจะมีหนี้กับสถาบันการเงิน และกลุ่มที่เป็นหนี้บัตรเครดิต

-กลุ่มข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำรวจ ทหาร จะได้รับการช่วยเหลือผ่าน 3 แนวทางด้วยกัน แนวทางแรก คือการลดดอกเบี้ยสินเชื่อไม่ให้สูงจนเกินไป เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ประจำและถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ แนวทางที่สอง จะต้องโอนหนี้ทั้งหมดไปไว้ในที่เดียว  เช่น ที่สหกรณ์ เพื่อให้การตัดเงินเดือนนำมาชำระหนี้ทำได้สะดวก  และสอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ และแนวทางสุดท้าย คือบังคับใช้หลักเกณฑ์การตัดเงินเดือน ให้ลูกหนี้มีเงินเดือนเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งทั้งสามแนวทางนี้ จะต้องทำ “พร้อมกัน” ทั้งหมด

แนวทางแก้หนี้ครู ราว 9 แสนคน

– บังคับใช้กฎหมาย หักเงินเดือนไปชำระหนี้ได้ไม่เกิน 70% ของเงินเดือน

– จัดทำสวัสดิการเงินกู้ข้าราชการที่มีดอกเบี้ยต่ำ

แนวทางแก้หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จากการคิดดอกเบี้ยสูงทำให้เป็นหนี้ค้างชำระ

– ปรับโครงสร้างหนี้ ผ่าน “คลีนิกแก้หนี้”

– ผ่อนได้นาน 10 ปี

– ลดดอกเบี้ยเหลือ 3.5% ต่อปี

กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้การชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง  เช่น เกษตรกร ลูกหนี้เช่าซื้อ  และลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กลุ่มนี้จะได้รับการช่วยเหลือ โดยการพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว การลดดอกเบี้ย  หรือลดเงินผ่อนชำระในแต่ละงวดให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้เกษตรกร  ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน เนื่องจากรายได้ของพวกเค้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและปริมาณผลผลิต / เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้กลุ่มนี้ รัฐบาลได้มีโครงการพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรแล้ว โดยพักทั้งหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งโครงการนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมการพักหนี้กว่า 1.5 ล้านราย เป็นต้น

แนวทางแก้หนี้เกษตรกร ราว 2 ล้านคน

– พักหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 3 ปี วงเงิน 3 แสนบาท/ราย

แนวทางแก้หนี้นักเรียน (หนี้กยศ.) ราว 5 ล้านคน

– ปรับแผนการผ่อนชำระให้เข้ากับรายได้คนเพิ่งเริ่มงาน

– ลดดอกเบี้ยให้เงินต้นลดเร็ว

– ถอนการอายัดบัญชีให้ลูกหนี้เข้าถึงระบบการเงิน

– ให้ผู้ค้ำประกันหลุดจากการค้ำประกัน

แนวทางแก้หนี้เช่าซื้อ

– สคบ.ควบคุมธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์

– กำหนดดอกเบี้ยเช่าซื้อรถใหม่ ต้องไม่เกิน 10%

– ลดดอกเบี้ยผิดนัด

– ให้ส่วนลดลูกหนี้ที่ปิดบัญชีก่อนกำหนด

กลุ่มที่ 4 เป็นหนี้เสียคงค้างกับสถาบันการเงินของรัฐ มาเป็นระยะเวลานาน กลุ่มนี้จะโอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์  ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินของรัฐ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น คาดว่ามาตรการนี้จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ในกลุ่มนี้ได้ประมาณ 3 ล้านราย

แนวทางแก้หนี้ NPLs

– ตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินของรัฐกับบริษัทบริหารสินทรัพย์

– รับโอนหนี้เสียจากสถาบันการเงินของรัฐ

– ปรับโครงสร้างหนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครั้งนี้รัฐบาลได้กำหนดแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้หลากหลายกลุ่ม มีทั้งมาตรการที่ ครม. ได้เห็นชอบไปแล้ว เช่น การพักหนี้เกษตร มาตรการที่สามารถดำเนินการขยายผลได้ทันที เช่น เรื่องหนี้ครู หนี้ข้าราชการ หนี้บัตรเครดิต หนี้เช่าซื้อรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยได้เริ่มเปิดรับลงทะเบียนหนี้นอกระบบ ซึ่งหวังว่าจะมีการติดตามเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยต่อไป อย่าให้หายเงียบ ตามแนวทางที่ตนเองได้มอบไว้

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุในระยะเร่งด่วนเพื่อต่อลมหายใจให้ลูกหนี้ทุกกลุ่ม ในระยะยาวควรมีการแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง โดยยกระดับการให้บริการสินเชื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ  จัดทำแนวทางเพื่อยกระดับการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อ ให้สะท้อนความเสี่ยงของลูกหนี้ได้มากขึ้น เป็นธรรม มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมาะสม และป้องกันปัญหาการก่อหนี้เกินศักยภาพ

ท้ายที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้สำเร็จและมีผลอย่างยั่งยืนหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมกันเสริมความรู้ ยืนยันรัฐบาลห่วงใยลูกหนี้ทุกกลุ่มและได้มีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้  ทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว การดำเนินมาตรการให้สำเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากลูกหนี้ เจ้าหนี้ และหน่วยงานต่าง ๆ หลายภาคส่วน ขอมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  ให้มาร่วมกันแก้หนี้ทั้งระบบให้จบภายในรัฐบาลนี้ ร่วมกันสำรวจและซ่อมแซมกลไกทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เครื่องจักรทางเศรษฐกิจเราทำงาน เติบโต และขยายตัวต่อไปได้

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญว่า ปัญหาหนี้สินเป็นปัญหาเรื้อรังที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน  ทั้งในส่วนของหนี้นอกระบบ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่ตนเองได้แถลงนโยบายที่ทำเนียบรัฐบาลไปแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน และอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ขอพูดถึงหนี้ในระบบ ซึ่งก็มีปัญหาไม่แพ้กับหนี้นอกระบบ ทั้งหนี้สินล้นพ้นตัว จนส่งผลกระทบต่อการทำงาน บางรายเป็นหนี้เสียคงค้างเป็นเวลานานจนขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ดังนั้น การดูแลลูกหนี้ในระบบที่ประสบปัญหาจึงถือเป็นวาระแห่งชาติเช่นเดียวกัน

รัฐบาลนี้จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้ “ทั้งระบบ” ทั้งการจัดการกวาดล้างหนี้นอกระบบ และการดูแลลูกหนี้ในระบบ ให้ได้รับสินเชื่ออย่างเหมาะสมและเป็นธรรม ก่อนจะพูดถึงมาตรการที่จะทำ ต้องขอชี้แจง และไม่ได้กล่าวว่าการเป็นหนี้ เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย โลกนี้มี “หนี้ที่ดี” อยู่ ซึ่งก็คือหนี้ที่นำไปจับจ่ายใช้สอยหรือประกอบธุรกิจ โดยไม่เกินความสามารถ เป็นหนี้ที่จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ เพิ่มจำนวนเงินในระบบทั้งประเทศ

ดังนั้น การมีลูกหนี้ที่ดี จึงเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ต้องเข้าใจว่า สภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้กลไกเหล่านี้ มีข้อติดขัดหลายอย่าง จนปัญหาสั่งสมจนใหญ่เกินกว่าจะแก้ได้โดยปราศจากภาครัฐ วันนี้พวกเราไม่สามารถจะปล่อยให้ลูกหนี้ที่ประสบปัญหานี้เผชิญปัญหาอยู่อย่างลำพัง ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐจะขอยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาหนี้ทุกคน ให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง

Back to top button