SFLEX ปิดจ๊อบ! เข้าถือหุ้น “Starprint เวียดนาม” 25% ลุยบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษ

SFLEX ปิดจ๊อบ! เข้าถือหุ้น “Starprint เวียดนาม” 25% มูลค่า 353 ล้านบาท ลุยบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษ ทั้งนี้จะเริ่มแสดงผลประกอบการในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือนมกราคม 2567


บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX เปิดเผยว่า การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 12566 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 มีมติให้บริษัทฯลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 25 ในบริษัท Starprint Vietnam JSC หรือ SPV ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วตามที่ได้เปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566

สำหรับ SFLEX ได้ชำระเงินสำหรับการเข้าถือหุ้นร้อยละ 25 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 241.46 พันล้านเวียดนามดอง (หรือประมาณ 352.53 ล้านบาท) ธุรกรรมข้างต้นดำเนินการผ่าน SFLEX Investment Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SFLEX ถือหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้ SFLEX จะเริ่มแสดงผลประกอบการของ SPV ในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือนมกราคม 2567

โดย SPV เป็นบริษัทชั้นนำด้านการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์แบบพับได้ในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ด้วยระบบพิมพ์แบบ Offset 16,500 ตันต่อปี และกล่องบรรจุภัณฑ์แบบคงรูป 8 ล้านกล่องต่อปีมีฐานการผลิต 2 แห่ง ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม Long Binh (Amata) ในจังหวัด Dong Nai ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม

อีกทั้งยังมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับชาติและระดับโลกในสินค้าอุปโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์ประเภทกล่องกระดาษที่มีคุณภาพสูง และเป็นการขยายตลาดทั้งในเวียดนาม ที่มีการเติบโตสูงและตลาดต่างประเทศอาทิ ยุโรป อเมริกา โดย SPV จะเป็นฐานการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์คงรูปคุณภาพสูง ( Rigid boxes) แห่งแรกในประเทศเวียดนามและอาเซียน

ทั้งนี้ SPV มีรายได้ 1,013 พันล้านดองเวียดนาม (ประมาณ 1,480 ล้านบาท) มีกำไรรวมหลังหักภาษีประมาณ 92.5 พันล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 135 ล้านบาท) และมีสินทรัพย์อยู่ที่ 601 พันล้านเวียดนามดอง ( ประมาณ 885 ล้านบาท) ณ สิ้นปี 2565

โดยโครงการลงทุนดังกล่าวเป็นการได้มาซึ่งบริษัทร่วม (SPV) ที่มีขนาดรายการเท่ากับร้อยละ 61.59 ตามเกณฑ์กำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของ SFLEX สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งเข้าข่ายเป็นการทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.20/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX ผู้ผลิต และจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนชั้นนำในประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับกลุ่มบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เข้าถือหุ้นร้อยละ 25 และร้อยละ 70 ตามลำดับใน Starprint Vietnam JSC (SPV) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้  (Offset Folding Carton) ในประเทศเวียดนาม

โดย SFLEX เข้าลงทุนผ่าน SFLEX INVESTMENT PTE. LTD. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมดในสัดส่วนของบริษัท โดยใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 241.46 พันล้านเวียดนามดอง หรือประมาณ 352.53 ล้านบาท และบริษัทจะเริ่มแสดงผลประกอบการของ SPV ในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือน มกราคม 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ SPV เป็นบริษัทชั้นนำด้านการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์แบบพับได้ในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ด้วยระบบพิมพ์แบบ Offset 16,500 ตันต่อปี และกล่องบรรจุภัณฑ์แบบคงรูป 8 ล้านกล่องต่อปี มีฐานการผลิต 2 แห่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม Long Binh (Amata) ในจังหวัด Dong Nai ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม อีกทั้งยังมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติมีชื่อขนาดใหญ่ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในตลาดเวียดนามและตลาดทั่วโลกที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

“การเข้าลงทุนใน SPV เป็นไปตามแผนการขยายฐานธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของบริษัทและแนวทางเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งยังสนับสนุนให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์ของ SFLEX สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของฐานลูกค้าในประเทศเวียดนามและภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังเอื้อให้เกิดการผลึกกำลังร่วมกันระหว่างธุรกิจในภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้น โดยบริษัทได้รับโอกาสและความเชื่อมั่นจากบริษัทใหญ่ที่มีคุณภาพระดับโลกอย่าง SCGP ซึ่งเป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรชั้นนำเพื่อเข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้ และยังเป็นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีช่วยต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ส่งเสริมความสามารถในการผลิตทางบรรจุภัณฑ์ระหว่างกัน รวมถึงเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจมากขึ้นอีกด้วย” ดร.สมโภชน์ กล่าว

ทั้งนี้ในส่วนของผลการดำเนินงานของ SPV  ในปี 2563 – 2565 ที่ผ่านมาเติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมอยู่ในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 1,236 ล้านบาท ในปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,286 ล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 1,480 ล้านบาท ตามลำดับ พร้อมกันนี้ มีกำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 51 ล้านบาท ในปี 2564 อยู่ที่ประมาณ  81 ล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 135 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่ ณ สิ้นปี 2565 มีสินทรัพย์อยู่ที่ 601 พันล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 885 ล้านบาท)

Back to top button