ท่องเที่ยวคึกคัก! “เทศกาลปีใหม่” ลุ้นเม็ดเงินสะพัด 1.05 แสนล้าน

“ธนวรรธน์ พลวิชัย” ชี้เทศกาลปีใหม่ 67 เงินสะพัดกว่า 1.05 แสนล้านบาท โต 2.8% สูงสุดในรอบ 4 ปี มองหมวดท่องเที่ยวใช้จ่ายสอยกระตุ้นมากที่สุด


นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย “พฤติกรรมและการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี 2567” ว่าแผนการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปีใหม่ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2567 อยู่ที่ 105,924.21 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี) หรือสูงสุดในรอบ 4 ปี

โดยกลุ่มตัวอย่างโดยคาดการณ์ว่าบรรยากาศในช่วงเทศกาลปีใหม่จะคึกคักคนใช้จ่ายมากกว่าปีที่แล้วแต่ยังคงระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยสำหรับแผนการใช้จ่ายในช่วงปีใหม่จำนวน 105,924.21 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็น 1. กิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ เลี้ยงสังสรรค์ 12,543.02 ล้านบาท, ทำบุญ 9,109.48 ล้านบาท, อุปโภคบริโภค 19,418.56 ล้านบาท, สินค้าคงทน 4,951.96 ล้านบาท และสินค้าฟุ่มเฟือย 1,723.97 ล้านบาท 2. ไปเที่ยว ได้แก่ ในประเทศ 54,074.31 ล้านบาท และต่างประเทศ 4,104.56 ล้านบาท

ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยวในปี 2567 สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ 6,023.83 บาทต่อคน ลดลงจากปี 66 ที่ 10,262.07 บาทต่อคน ส่วนการท่องเที่ยวต่างประเทศ อยู่ที่ 35,573.53 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 27,168.75 บาทต่อคน

“โดยปีใหม่ปีนี้หมวดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด คือ 1.การท่องเที่ยว ซึ่งคนยังลังเลการใช้เงินในการท่องเที่ยวในประเทศ จะเน้นเรื่องการเดินทางกลับบ้านหรือเที่ยวในจังหวัดใกล้ๆ ทั้งนี้การไปท่องเที่ยวต่างประเทศนั้นกลุ่มตัวอย่างจะใช้เงินมากขึ้นกว่าปีก่อน 2.หมวดการซื้อของขวัญ, จัดเลี้ยง และสังสรรค์ รวมไปถึง 3.ไหว้พระทำบุญในช่วงปีใหม่ตามลำดับ ซึ่งในหมวด 2 และ 3 นั้นมีการใช้จ่ายมากขึ้น” นายธนวรรธน์ กล่าว

ขณะที่ประเด็นเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 92.1% คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโตต่ำกว่า 2.50% แสดงให้ถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่ไม่สดใส และยังไม่มีภาพของการฟื้นตัวได้ชัดเจน ขณะที่ปี 67 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 88.0% ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจจะโตต่ำกว่า 3% รวมไปถึงที่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยโตมากกว่า 3%

อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันแม้การส่งออกจะเริ่มกลับมาบวก และการท่องเที่ยวดีขึ้นกว่าที่ผ่านมามากพอสมควรเพราะนักท่องเที่ยวเพิ่มถึง 27-28 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 10 ล้านคน แต่ยังไม่สามารถพลิกบรรยากาศเศรษฐกิจให้โดดเด่นได้และประชาชนมองว่าเศรษฐกิจปีหน้าดีกว่าปีนี้เล็กน้อยแต่ยังโตต่ำกว่า 3% ขณะที่ภาควิชาการมองโต 3.1-3.3%

รวมถึงรัฐบาลเชื่อว่าโตเกิน 4% จากนโยบาย (Digital Wallet) ขณะที่วันนี้ประชาชนยังไม่เชื่อแบบนั้น ดังนั้นภาวะเศรษฐกิจจะมีบรรยากาศของการค่อยๆ จับจ่ายใช้สอยไปเรื่อยๆ ซึ่งจะมีการประเมินอีกครั้งในช่วงวันเด็กและตรุษจีน

โดยสิ่งที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลดำเนินการในปี 2567 อันดับ 1 คือ ดูแลการมีงานทำและสร้างงานรวมถึงสร้างรายได้ รองลงมา คือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน, เงินกู้, แก้ไขปัญหายาเสพติด, ดูแลค่าครองชีพให้เหมาะสม, ปัญหาหนี้ครัวเรือน และแก้ไขปัญหาความยากจน ตามลำดับ

อีกทั้งในส่วนของความสำเร็จมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจาก 10 คะแนนเต็ม โดยกลุ่มตัวอย่างให้คะแนนนโยบายลดค่าครองชีพ, ค่าไฟ และน้ำมันด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงสุด 7.41 คะแนน ขณะที่นโยบายฟรีวีซ่ารวมถึงนโยบายแก้หนี้ผู้ประกอบการ SME และนโยบายแก้หนี้เกษตรกรมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 5 คะแนน หรือยังไม่โดดเด่น

นอกจากนี้เมื่อวานนี้ (20 ธันวาคม 2566) คณะกรรมการค่าจ้างมีมติเห็นชอบปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2567 ตามมติเดิมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ซึ่งต้องติดตามว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้ใช้ในอัตรานั้นหรือไม่หรือจะมีการยับยั้งแทรกแซงในรูปแบบไหนหรือไม่ ถือเป็นประเด็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี ทางฝั่งลูกจ้างมองว่าการปรับค่าจ้างเหมาะสมแล้วและเป็นจุดที่ลูกจ้างรับได้ รวมถึงสอดคล้องกับการจ่ายของนายจ้าง ขณะที่กระทรวงแรงงานโดยไตรภาคี ระบุว่านี่คือมติที่ออกมาจากมาตรฐานการคำนวณจากระดับจังหวัด และระดับประเทศ ทั้งนี้ค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น 2-3% สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อที่ขยายตัวเพียงแค่ 1-3% ในปีนี้ และมีประเด็นเรื่องค่าจ้างที่เป็นไปตามกรอบทักษะ หากแรงงานทักษะสูงขึ้นก็จะได้รับการปรับค่าจ้างสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ลูกจ้างที่ไม่มีทักษะต้องพยายามฝึกทักษะเพิ่ม

อีกทั้งในการประชุมคณะกรรมการหอการค้าไทย ได้มีการหยิบยกประเด็นเรื่องกรณีกลุ่มฮูตีที่โจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง (Red Sea) โดยมองว่ายังไม่มีข้อกังวลรุนแรงแต่มีความห่วงใยว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่มีการพูดถึงตัวเลขส่งออกที่จะได้รับผลกระทบ

“โดยบริษัทเดินเรือต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางเดินเรือที่อาจมีการโจมตีจึงอาจใช้เวลาเพิ่ม 1 เดือน ซึ่งภาระตกที่บริษัทเดินเรือและจะไปเรียกเก็บกับลูกค้า รวมถึงอาจต้องไปทำประกัน ทั้งนี้สังเกตว่าต้นทุนการใช้น้ำมันสูงขึ้น และมีต้นทุนประกัน ดังนั้นต้นทุนการขนส่งรวมถึงค่าระวางเรือจะแพงขึ้นแน่นอน

อีกทั้งในเรื่องการขนส่งสามารถหลบเลี่ยงเส้นทางได้และยังไม่มีการประเมินว่าสินค้าจะถึงที่หมายล่าช้าไป 30 วัน จุดสั่งซื้อเกิน 30 วันหรือไม่ สต็อกพอหรือไม่ ดังนั้นสต็อกเก่ายังไม่ดันในเกิดเงินเฟ้อ และส่วนสต็อกใหม่อาจมีค่าโสหุ้ยที่แพงขึ้นบ้างแต่ต้องดูที่กองกำลังนานาชาติหรือประเทศต่างๆ ที่พยายามคุ้มกันบริษัทเดินเรือจะจบภายใน 2 สัปดาห์หรือ 1 เดือนหรือไม่ นายธนวรรธน์ กล่าว

ขณะที่คาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้มีผลกระทบแค่ในระยะสั้น และยังไม่ทำให้สินค้าขาดแคลนทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการขนส่งแพงขึ้นอย่างน้อย 10-20% รวมถึงอาจทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น 5-10% แต่เป็นในกรณีที่มีการโจมตีในระยะเวลาที่ยาวนานกว่านี้ อีกทั้งตอนนี้ยังไม่กระทบต่อเงินเฟ้อ และไม่กระทบต่อการขาดแคลนสินค้า รวมทั้งน้ำมัน ซึ่งยังนิ่งอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

โดยสำหรับการส่งออกสินค้าของไทยส่วนใหญ่จะออกทางท่าเรือแหลมฉบัง และการขนส่งไปยังตลาดหลัก คือสหรัฐฯ, จีน, อาเซียน และญี่ปุ่น ดังนั้นไม่มีเส้นทางผ่านทะเลแดงมากนัก ทั้งนี้ผลกระทบเรื่องการส่งออกของไทยในการขนส่งทางเรือจึงไม่กระทบมากส่วนต้นทุนการผลิตรวมถึงค่าระวางเรือ อาจมีผลกระทบบ้าง

“นอกจากนี้เหตุการณ์เพิ่งผ่านไป 4-5 วัน จึงเร็วเกินไปที่จะสรุปว่ายืดเยื้อ คาดการณ์ภายใน 2 สัปดาห์ น่าจะเห็นภาพของการจัดการ โดยกลุ่มฮูตี กล่าวว่าตราบใดที่อิสราเอลยังทำการรุนแรงกับปาเลสไตน์ ดังนั้น มีเงื่อนไขที่อาจเป็นแรงกดดันเรียกร้องให้ทำการเจรจาทางการทูตมากกว่าการใช้กองกำลังทหารในแถบปาเลสไตน์ ซึ่งมีการประนีประนอมกันมากขึ้น และคาดการณ์ว่า ภายใน 2 สัปดาห์ควรคลี่คลายถ้ายืดเยื้อก็ไม่ควรเกิน 1 เดือน หลังจากนี้ 1 เดือน ค่อยมาประเมินผลกระทบอีกทั้ง” นายธนวรรธน์ กล่าว

Back to top button