GFC ปลื้มโกยรายได้ ต.ค. “ออลไทม์ไฮ” แย้ม Q4 แจ่ม รับดีมานด์ผู้รักษาบุตรยากเพิ่ม

GFC ปลื้มกวาดรายได้เดือน ต.ค. สร้าง “ออลไทม์ไฮ” โต 15% ส่งซิกไตรมาส 4/66 โตเด่น รับดีมานด์ผู้รักษาบุตรยากล้น จ่อขานรับนโยบายรัฐฯ กระตุ้นเด็กเกิดใหม่ เชื่อ New S-Curve ทำธุรกิจปี 2567 พุ่ง ด้านโบรกเคาะราคาเป้าหมายไกล 16 บาท


นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC เปิดเผยว่า จากอัตราผู้เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากในประเทศไทย เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมามียอดผู้เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากกับทาง GFC ตั้งแต่การรับบริการตรวจเบื้องต้น, การรักษาด้วยวิธี IUI, การรักษาด้วยวิธี ICSI, การตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน NGS และการฝากไข่ ซึ่งถือว่าสร้างสถิติเป็นประวัติการณ์ (นิว ออลไทม์ไฮ) หนุนให้ช่วงเดือนตุลาคม บริษัทฯ มีรายได้จากอัตราการรักษาเพิ่มขึ้น 15 % เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกันยายน 2566 ที่มีรายได้ 32 ล้านบาท จากปัจจัยบวกดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมในไตรมาสสุดท้าย 4/2566 ท็อปฟอร์ม ออลไทม์ไฮต่อเนื่อง

ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการทำการตลาด และศักยภาพที่สามารถตอบโจทย์ในการรองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากได้ครอบคลุมทุกมิติ ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช  และเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยากมากกว่า 23 ปี ส่งผลให้วันนี้ GFC ได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อมั่น ในการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของครอบครัวที่เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก

โดยประกอบจากการที่ GFC เข้าจดทะเบียน mai ทำให้บริษัทฯ เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก GFC ให้ความสำคัญอย่างเสมอมาว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้แต่ละคนมีความสำคัญไม่เท่ากัน คนที่มาหาเรามีปัญหาเรื่องการมีบุตรยากอยู่แล้ว ฉะนั้น 1 เปอร์เซ็นต์สำหรับเขาสำคัญมาก ดังนั้นเราต้องดูแลและใส่ใจทุกรายละเอียด และทุกการรักษาพิสูจน์ได้จากอัตราความสำเร็จ (Success Rate) ที่การันตีโดยกลุ่มลูกค้า รวมถึงเปอร์เซ็นต์การรักษาการตั้งครรภ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้วันนี้ผู้เข้ารับการรักษากับ GFC มีเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น

“สำหรับนโยบายของภาครัฐบาลกรณีการ “ส่งเสริมมีบุตร” แก้ปัญหา “เด็กเกิดน้อย” ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก มองว่า เป็นแนวโน้มที่ดี และเป็นผลเชิงบวกต่อกลุ่มให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก ขณะเดียวกัน GFC พร้อมขับเคลื่อนและขอเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนโยบายส่งเสริมการมีบุตรเพื่อแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อยในปัจจุบัน” นายกรพัส กล่าว

ส่วนกรณีที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย ทั้งภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการเข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยาก ไม่เป็นไปตามคาดการณ์นั้น บริษัทฯ ยืนยันว่าไม่กังวลต่อปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากจำนวนผู้เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากของ GFC เป็นคนไทยในประเทศเป็นหลัก

โดยที่สำคัญเชื่อมั่นว่าปี 2567 จำนวนผู้เข้ารับการรักษาในประเทศ จะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำอัตราการเติบโตของ GFC ได้อย่างโดดเด่น ประกอบกับการเตรียมเปิดให้บริการอีก 2 แห่ง ทั้ง สาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี จะยังคงมุ่งเน้นการให้บริการผู้เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากในประเทศเป็นหลัก ควบคู่กับการขยายฐานกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ภายใต้การมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจของ GFC ที่จะเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง สู่การสร้าง New S-Curve ในอนาคต

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมินการเติบโตของ GFC มีความโดดเด่น โดยรายได้รวมในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 30% ส่งผลให้ EPS ปรับเพิ่มตาม ทางฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2566-2568 ขึ้นอีก 13-45% และประมาณการการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 10-15% ตามมุมมองเชิงบวกของแนวโน้มการเติบโตของรายได้ของ GFC ที่สูงขึ้นของสาขาพระราม 3 และพระราม 9 ที่คาดว่า GFC จะเร่งดำเนินการเปิดเร็วในสุดปี 2568 ซึ่งเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ 1 ปี จึงประเมินราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 16 บาท จากราคาเดิม 11.3 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” บน P/E ที่ 28 เท่าในปี 2567 เป็น 16 บาท ตอนนี้ในปี 2567 อิงค่า P/E อยู่ที่ 34 เท่า เพื่อสะท้อนถึงการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งในระยะยาวของ GFC จากการขยายกำลังการผลิต และอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิที่สูงขึ้นเป็น 44-49% และ 20-22% ตามลำดับ

บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ประมาณการกำไรสุทธิของ GFC ในปี 2566 อยู่ที่ 70.2 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 6.8% และในปี 2568 อยู่ที่ 104.6 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 49.1% และในปี 2568 อยู่ที่ 115.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 10.4% หรือในปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 28.3% และได้ประมาณการรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 340 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 23.2% และถัดมาปี 2567 ประมาณรายได้ 480 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 41.2% และในปี 2568 ประมาณรายได้ 520 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 8.3% หรือในปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 23.7% ตามแนวโน้มการเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีบุตรยาก ตามแผนการขยายสาขาและการให้บริการแก่ลูกค้าต่างชาติ

ดังนั้นจึงประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 14.30 บาท อิงค่า PE ที่ 30 เท่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PE ระยะยาวของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งมองว่าเหมาะสม เนื่องจากแนวโน้มของผลประกอบการยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหาด้านการมีบุตรยาก และธุรกิจอยู่ในกระแส หลังหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ปรับเพิ่มประมาณการปี 2566-2568 พร้อมให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 12 บาท อิงค่า PE เดิม 25 เท่า ยังแนะนำ “ซื้อ” พร้อมประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2566 มีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วง high season ของธุรกิจ และอาจมี pend up demand ที่ต้องทำการรักษาในปีนี้ เพื่อให้ลูกเกิดในปีมังกร

ดังนั้นจึงปรับประมาณการกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้น 19% เป็น 70 ล้านบาท และสำหรับปี 2567 เพิ่มขึ้น 7% คาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากผลการเปิดสาขาใหม่ สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และอุบลราชธานี ตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/2567 รวมถึงการนำเอา เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ขยายห้อง LAB ที่เป็นมาตรฐานสากลจะทำให้มีลูกค้าต่างชาติเข้าขอรับบริการเป็นปีแรก

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 2566 ของ GFC โดยปรับสมมติฐานเปอร์เซ็นต์ GPM ทั้งปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 43.8% สู่ 48.4% และปรับประมาณการรายได้ปี 2566 เพิ่มขึ้น 11% สู่ 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%  และปรับกำไรเพิ่มขึ้น 54% สู่ 76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% พร้อมประเมินไตรมาส 4/2566 มีกำไรอยู่ที่ 20.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากแนวโน้มจำนวนเคสที่เร่งขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับดีมานด์ของการมีลูกให้ทันในช่วงปีมังกรทอง (ปี 2567) ซึ่งจะต้องตั้งครรภ์ช้าสุดในช่วงไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567

จึงคาดการณ์กำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 16% สู่ 96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากการเปิดสาขาใหม่พระราม 9 และอุบลราชธานี ช่วงปลายไตรมาส 1/2567 –  ต้นไตรมาส 2/2567 ทั้ง 2 แห่ง จึงได้ประมาณการรายได้ปี 2567 อยู่ที่ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% ประกอบกับปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจากับ Agency เพื่อส่งคนไข้ชาวจีนมารับบริการในช่วงไตรมาส 1/2567 พร้อมประเมินราคาเหมาะสม GFC ด้วยวิธี Prospective PE Ratio เทียบกับบริษัทที่อยู่ในหมวดของธุรกิจทางการแพทย์ทั้งกลุ่มโรงพยาบาลขนาดเล็กและคลินิกเฉพาะทาง โดยประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 ที่ระดับ 11.70 บาทต่อหุ้น

Back to top button