กลุ่มโรงกลั่น ทุ่ม 5 หมื่นล้าน ปรับปรุงผลิต “เชื้อเพลิง” มาตรฐานยูโร 5 แก้ปม PM2.5

“กลุ่มฯ โรงกลั่นฯ” เดินหน้าผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานยูโร 5 หลังลงทุนปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพวงเงินกว่า 50,000 ล้านบาท หวังแก้ปัญหา PM2.5 ลดอันตรายต่อสุขภาพของคนไทย มุ่งดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 4 ปี


กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มโรงกลั่นฯ) ระบุว่า มาตรฐานยูโร หรือ (Euro) คือ มาตรฐานกำหนดการปล่อยมลพิษของยานพาหนะในประเทศแถบทวีปยุโรป โดยย่อมาจาก “Euro emissions standards” ซึ่งถูกกำหนดขึ้นครั้งแรกในปี 2513 เพื่อกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษของยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการสันดาปไม่ให้เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งนอกเหนือจากการกำหนดมาตรฐานของเครื่องยนต์แล้วมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกกำหนดควบคู่กับมาตรฐานเครื่องยนต์ โดยมาตรฐานน้ำมันยูโร 1 (Euro 1) ถูกประกาศใช้ครั้งแรกในปี 2535

โดยควบคู่ไปกับการควบคุมการปล่อยไอเสียของรถยนต์เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO), สารไฮโดรคาร์บอน (HC), สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) อนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทั้งนี้มีการประกาศยกระดับมาตรฐานน้ำมันยูโรมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันที่ประเทศในแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศในแถบเอเชียอย่าง อาทิ จีน สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็เริ่มบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 5 เพื่อแก้ไขปัญหาของ PM2.5

ทั้งนี้มาจากหลายสาเหตุ อาทิ ไฟป่า, เผาป่าเพื่อทำการเกษตร, การก่อสร้างที่มาจากการขุดเจาะ, การผลิตไฟฟ้าและการทำอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยการเผาปิโตรเลียมและถ่านหินเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า รวมถึงการคมนาคมจากควันท่อไอเสียและการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ หรือกิจกรรมอื่นๆ อาทิสูบบุหรี่ จุดธูป อละเผากระดาษ เป็นต้น

ขณะที่มาตรฐานน้ำมันยูโร 5 ที่มีข้อกำหนดหลักเพื่อใช้ควบคุม คือ ปริมาณกำมะถัน สารอะโรเมติกส์ และสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนได้ระดับหนึ่ง อีกทั้งมีข้อมูลอ้างอิงในกลุ่มประเทศยุโรป อเมริกา รวมไปถึงสิงคโปร์มีคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นหลังจากการบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลภาวะอย่างเข้มงวด

ขณะที่ประเทศไทยได้ยกระดับมาตรฐานน้ำมันมาโดยตลอด ซึ่งเริ่มบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 1 ตั้งแต่ปี 2539 และในปัจจุบันคือมาตรฐานน้ำมันยูโร 4 เมื่อปี 2555 เป็นต้นมา โดยภาครัฐมุ่งมั่นแก้ไข และลดผลกระทบของปัญหา PM2.5 นับตั้งแต่กำหนดเป็นวาระแห่งชาติที่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเน้นการนำไปสู่ระดับปฏิบัติและลดผลกระทบต่อสุขภาพจากมลภาวะทางอากาศ และหนึ่งในแนวทางการจัดการ คือ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562

โดยกำหนดมาตรการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง รวมถึงแหล่งกำเนิดจากไอเสียของยานพาหนะ ซึ่งได้กำหนดมาตรการยกระดับการระบายมลพิษจากรถยนต์ใหม่จากระดับยูโร 4 ให้เป็นยูโร 5 และยกระดับคุณภาพน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ รวมถึงดีเซลหมุนเร็วจากระดับยูโร 4 ให้เป็นยูโร 5 เพื่อปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 50 เป็นไม่สูงกว่า 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (10 ppm) ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

อีกทั้งน้ำมันกลุ่มดีเซลจะต้องยกระดับมาตรฐานคุณภาพเพิ่มเติม เพื่อลดปริมาณสารโพลีไซคลิก และอะโรมาติกส์ ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) จากไม่ให้เกิน 11% เป็นไม่ให้เกิน 8% ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มฯ โรงกลั่นฯ) ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 5 โดยลงทุนปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตใช้เงินลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ขณะที่เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 4 ปี

ทั้งนี้นับตั้งแต่วันที่ประกาศตามข้อกำหนดของกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อให้ทันการณ์กับนโยบายภาครัฐที่กำหนดไว้ ท่ามกลางความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมากมาย โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ความผันผวนด้านราคาน้ำมันและการเปลี่ยนผ่านรูปแบบของการใช้พลังงาน เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

นอกจากนี้กลุ่มโรงกลั่นฯ ได้ดำเนินการลงทุนก่อสร้างปรับปรุงหน่วยผลิตจนพร้อมจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานน้ำมันยูโร 5 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงกว่าการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ในปัจจุบันจากการลงทุนเพื่อปรับปรุงระบบการกลั่นและการปรับชนิดของน้ำมันดิบเป็นชนิดกำมะถันต่ำเพื่อเข้าสู่กระบวนการกลั่น

ดังนั้นการปรับราคาจำหน่ายจึงควรสะท้อนมาตรฐานคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น และเป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดน้ำมันในภูมิภาคที่เชื่อมโยงกับตลาดโลก เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน รวมไปถึงสนับสนุนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานน้ำมันยูโร 5 เพื่อช่วยลดปริมาณ PM2.5 ในอากาศและสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

Back to top button