3 หุ้น “โรงไฟฟ้า” ตัวท็อป! รับรัฐบาลเตรียมปรับแผน PDP ใหม่
คัด 3 หุ้น “โรงไฟฟ้า” ตัวท็อป! เตรียมรับรัฐบาลจะมีการทบทวนและปรับปรุงแผน เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ด้านโบรกชู GPSC-GULF-BGRIM หุ้นเด่น ลุ้นเดินหน้าเข้าประมูลรับงานเสริมกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่ม หนุนกำไรเติบโตแกร่ง
ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุถึงแผนการดำเนินงานในปี 2567 ภายใต้หัวข้อ “ปีแห่งการขับเคลื่อนพลังงานไทย สู่อนาคตที่ดีกว่า” โดยได้เตรียมนโยบายสำคัญๆ เรื่องการ “รื้อ ลด ปลด สร้าง” เพื่อปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ
โดยในปี 2567 ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน จะมีการทบทวนและปรับปรุงแผน ร่างแผนพลังงานชาติเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน และเสนอร่างแผนฯ ต่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ ครม. เพื่อพิจารณาและประกาศใช้ต่อไป
นอกจากนี้แผนงานในปี 2567 ของ สนพ. ยังมีเรื่อง การนำเสนอแนวทางการเปิดเสรีในกิจการไฟฟ้า ซึ่งจะมีโครงสร้างกิจการไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการแข่งขันในระยะทดลองและนำร่องปี 2567-2568 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดกลไกการแข่งขันที่สะท้อนต้นทุนทางด้านราคาแทนการอุดหนุนทางด้านราคา เปิดโอกาสให้มีธุรกิจใหม่ทางด้านพลังงานเกิดขึ้น และภาครัฐสามารถใช้เป็นกลไกให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero Carbon Emission ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึงการพัฒนาโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ว่า มีโอกาสที่โรงไฟฟ้าประเภท IPP จะไม่ถูกบรรจุอยู่ในแผน PDP ฉบับใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณสำรองไฟ (Reserve Margin) สูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายละเอียดอื่นๆประกอบ พบว่ายังอาจมีความจำเป็นต้องให้มีการพัฒนาโรงไฟฟ้า IPP เพิ่มเติม เหตุเพราะโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนยังไม่มีศักยภาพเพียงพอในการเป็นปริมาณสำรองหลักให้กับประเทศ รวมถึงจะมีโรงไฟฟ้า IPP ปลดระวางด้วยในอนาคต
ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่า แผน PDP ฉบับใหม่นี้ยังคงต้องบรรจุกำลังการผลิตไฟฟ้าจาก IPP อีกราว 1GW(1,000 เมกะวัตต์) เพื่อมารองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน หากประเมินจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าหุ้นโรงไฟฟ้าประเภท IPP ได้รับแรงกดดันน้อยกว่าประเภท SPP รวมทั้งโอกาสที่จะมีกำลังผลิตเพิ่มเติมจากฝั่ง IPP จึงชอบหุ้นในกลุ่มนี้มากกว่า โดยเฉพาะหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มากสุดในกลุ่ม
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้มีการอัพเกรดหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยมีมุมมองบวกจากเท่าตลาด เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแตะระดับสูงสุดแล้ว ขณะที่ความเสี่ยงด้านนโยบายเริ่มจำกัด ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มลดลงในปีนี้และจะค่อยๆ กลับสู่ระดับปกติ (ระดับก่อนปี 2565) ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรของผู้ผลิตไฟฟ้าในปี 2567-2568
โดยทางฝ่ายวิจัยเลือก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจาก 1) กำไรมีศักยภาพในการฟื้นตัวมากที่สุดในกลุ่ม และ 2) ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ปรับสมมติฐานอัตราค่าไฟฟ้าปี 2567-2568 ของเราจาก 3.99 บาท/kWh เป็น 4.10 บาท/kwh และเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นในกลุ้มโรงไฟฟ้าขึ้น 0.4-0.9% หลังจากปรับประมาณการกำไรขึ้นเล็กน้อย
สำหรับ spark Spread น่าจะดีขึ้นในปี 2567 ฝ่ายนักวิเคราะห์เชื่อว่า Spark Spread (ส่วนต่างระหว่างค่าไฟฟ้าเทียบกับราคาก๊าซต่อkWh) จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากคาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มลดลงจากต้นทุนการนำเข้าที่ลดลงและการผลิตก๊าซจากแหล่งเอราวัณที่เพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราค่าไฟฟ้าจะยังคงอยู่ที่ 4.10 บาท/kwh ต่อไปอีก 2 ปี เพิ่มขึ้นจากสมมติฐานเดิมของฝ่ายวิจัยที่ 3.99 บาท/kWh
โดย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM และ GPSC จะรับอานิสงส์โดยตรงจาก spark spread ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสัดส่วนโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) มาก ฝ่ายนักวิเคราะห์เพิ่มราคาเป้าหมายสำหรับแต่ละหุ้นขึ้น 0.4-0.9%เพื่อสะท้อนสมมติฐานอัตราค่ไฟฟ้าที่สูงขึ้น
คาดการณ์เปิดประมูลกำลังการผลิต PDP ใหม่ 7.5-12.7GW โดยคาดแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ใหม่จะมีกำลังการผลิตตามปกติใหม่ที่ 7.5-12.7GW สะท้อนอัตราสำรองที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ (ไม่รวมกำลังการผลิตพลังงานทดแทน [RE) ที่ 15-25% และประเมินว่ากำลังการผลิตใหม่นี้จะเข้ามาแทนที่กำลังการผลิต 15.8GW ของ กฟผ. และ IPP ที่จะเลิกผลิตในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยแผน PDP ใหม่จะมีการประกาศในปีนี้เนื่องจากแผน PDP ปัจจุบันล้าสมัยแล้ว
ทั้งนี้คาดการณ์กำไรฟื้นตัวในปี 2567-2568 โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่ากำไรรวมในปี 67 ของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่วิเคราะห์จะเพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ มาจาก 1) กำไรของ GPSC ที่ฟื้นตัว 121% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
และ 2) กำไรของ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เพิ่มขึ้นถึง 156% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากการขายเงินลงทุนออกไป หากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดซ้ำและรายการพิเศษ คาดการณ์กำไรหลักรวมในปี 2567-2568 จะเติบโต 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
ทั้งนี้ จึงมองว่าปี 2567-2568 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวหลังจากที่ต้นทุนพลังงานและอัตราค่าไฟฟ้าไม่สอดคล้องกันอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยประเมินว่า GPSC จะมีกำไรหลักฟื้นตัวมากที่สุดเนื่องจาก 1 มีโรงไฟฟ้าประเภท SPP มาก และ 2) ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่สำหรับโครงการ Gheco-One ซึ่งเป็นโครงการ IPP ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท