EGCO จับมือ “บี.กริมฯ-มจธ.” ลุยพัฒนา “เครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์”
เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส ผนึก บี.กริม เพาเวอร์ เซอร์วิส (แหลมฉบัง) และพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมลงทุนพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ ตอบโจทย์เทรนด์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ระยะเวลาดำเนินงาน 10 ปี
บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด หรือ ESCO ในกลุ่ม บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ลงนามข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เซอร์วิส (แหลมฉบัง) บริษัทย่อยของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมถึงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ให้ตอบโจทย์เทรนด์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขององค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน
โดยนายสุทธิศักดิ์ แก้วมีแสง กรรมการผู้จัดการ ESCO ในกลุ่มเอ็กโก กล่าวว่าบริษัทเอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส เป็นบริษัทที่ EGCO Group ถือหุ้น 100% ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการให้บริการงานเดินเครื่องและบำรุงรักษา (O&M) วิศวกรรมและการฝึกอบรมแก่โรงไฟฟ้า โรงงานปิโตรเคมี และโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ มากว่า 29 ปี ซึ่งการลงนามข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนเครื่องมือทดสอบตรวจวัดประสิทธิภาพแผงโซลาร์เซลล์รุ่นใหม่ที่มีความยาวเกิน 2 เมตร
ทั้งนี้นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมเพื่อสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจการตรวจสอบประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์โดย ESCO จะร่วมลงทุนและสนับสนุนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา อาทิ อุปกรณ์และเครื่องมือทดสอบหรือซอฟท์แวร์ รวมทั้งบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานร่วมกัน ESCO เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
ด้านนายดอน ทยาทาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานลูกค้าสัมพันธ์และปฏิบัติการโรงไฟฟ้า 2 BGRIM กล่าวว่า ปัจจุบันการใช้พลังงานทดแทนได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานทั้งภาคอุตสาหกรรม และครัวเรือนเป็นอย่างมาก โดยเห็นได้จากจำนวนของการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งการใช้งาน อาทิ โรงงานอุตสากรรม นิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
เนื่องจากเป็นการตอบโจทย์การใช้พลังงานทางเลือกที่มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สามารถควบคุมปริมาณการใช้ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงยังเป็นการตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ทาง BGRIM มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการใช้งานพลังงานทางเลือกอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมศักยภาพการใช้งานของแผงโซลาร์เซล์เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้านการใช้พลังงานทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ในปัจจุบันหากพิจารณาการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จะเห็นได้ว่ามีความยาวมากกว่า 2 เมตร ซึ่งเกินกว่าที่เครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ที่ศูนย์ทดสอบ CES Solar Cells Testing Center (CSSC) จะสามารถรองรับได้ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือของพันธมิตรในโครงการนี้เพื่อร่วมลงทุน และพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งถือเป็นเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์แห่งเดียวในประเทศไทย รวมถึงในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน โดยทางบี.กริม พร้อมสนับสนุนการลงทุนและการจัดซื้อเครื่องมือทดสอบเพื่อเสริมการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายโครงการ
ด้านรศ.ดร.จักรกฤษณ์ เตชะอภัยคุณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า มจธ. ถือเป็นสถาบันการศึกษาที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาและส่งเสริมด้านเทคโนโลยีอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จากผลงานด้านวิชาการและการผลิตนวัตกรรมต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้
อีกทั้ง มจธ. ได้จัดเตรียมคณาจารย์และนักศึกษาผู้มีประสบการณ์เพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยได้จัดเตรียมระบบการเดินเครื่องและการบำรุงรักษาเครื่องมือทดสอบขั้นตอนในการตรวจสอบการใช้งาน ซึ่งได้รับมาตรฐานห้องปฏิบัติการทดสอบ ISO/IEC17025 และถือเป็นการใช้ความเชี่ยวชาญของทางสถาบันเพื่อพัฒนาการใช้งานพลังงานทางเลือกให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงยังเป็นการสร้างประสบการณ์ในการดำเนินโครงการร่วมกับหน่วยงานชั้นนำซึ่งจะเป็นการพัฒนาบุคลากรด้วยเช่นกัน
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากลงทุนในเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์แล้ว ทั้ง 3 องค์กรจะร่วมกันทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบว่าสามารถใช้บริการ และทำการทดสอบได้ที่ศูนย์ทดสอบ CSSC โดยเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์นี้จะถูกติดตั้งที่ศูนย์ทดสอบ โดยมีผู้ปฏิบัติการของศูนย์ทดสอบเป็นผู้ทำการทดสอบและบำรุงรักษา (ผู้ปฏิบัติการและห้องปฏิบัติการของศูนย์ทดสอบ CSSC ผ่านการรับรองระดับสากลแล้ว) ขณะที่ความร่วมมือทั้งหมดมีระยะเวลาในการดำเนินงาน 10 ปี
ทั้งนี้ จากรูปแบบความต้องการใช้พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ปัจจุบันองค์กรต่างๆ มีนโยบายลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว และหันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโจทย์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions โดยหนึ่งในพลังงานทดแทนที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง คือ การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์ รูฟท็อป)
เนื่องจากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สามารถทำได้ทั้งระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม ส่งผลให้จำนวนผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ของแผงโซลาร์เซลล์ที่มีการพัฒนามากขึ้น ดังนั้นการตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์จึงมีความสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่องค์กรและผู้ที่ต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ทั้งในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนในภาพรวมของประเทศมากยิ่งขึ้นในอนาคต