KTB รายได้สินเชื่อ-ค่าฟีพุ่ง ดันกำไรปี 66 แตะ 3.6 หมื่นล้าน โต 9%
KTB รายได้สินเชื่อ-ค่าฟีพุ่ง ดันกำไรปี 66 แตะ 3.6 หมื่นล้านบาท โต 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 3.3 หมื่นล้านบาท ฟาก NPLs Ratio ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.08 จากบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังต่อเนื่อง ด้าน Coverage ratio อยู่ที่ร้อยละ 190 เมื่อเทียบกับร้อยละ 179.7 ในปีที่ผ่านมา
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2566 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดยในปี 2566 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 36,616 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นร้อยละ 8.7 ผลจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมทางการเงินมาสร้างมูลค่าให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมสร้างคุณค่า ตอบโจทย์ลูกค้า สู่ความยั่งยืน” โดยมีรายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 19.2 ทั้งจากการเติบโตของสินเชื่ออย่างระมัดระวังในกลุ่มที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร เพื่อรักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน และการขยายตัวของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดสำหรับ
สำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 113,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 90,405 ล้านบาท และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 20,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 20316 ล้านบาท และรายได้จากการดำเนินงานอื่นปี 2566 อยู่ที่ 15,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 14,670 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมจากการดำเนินงานปี 2566 อยู่ที่ 149,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 125,391 ล้านบาท
ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเกี่ยวกับ IT เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้ดียิ่งขึ้นต่อยอดดิจิทัลแบงก์กิ้ง เพื่อรับการเติบโตของอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต อย่างไรก็ตามการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 41.6 ลดลงจากร้อยละ 43.7 ในปีที่ผ่านมา โดยตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจรวมถึงพิจารณาความเสี่ยงในทุกมิติอย่างรอบคอบ โดยหากรวมสำรองที่ได้ปรับปรุงระหว่างปี (one-time adjustment) ด้วยแล้ว Coverage ratio ของธนาคารอยู่ที่ประมาณร้อยละ 190 เมื่อเทียบกับร้อยละ 179.7 ในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ในไตรมาส 4/66 ธนาคารได้ตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันที่มีแนวโน้มของคุณภาพสินเชื่อที่เสื่อมค่าลงพร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป พร้อมบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังต่อเนื่องทำให้ NPLs Ratio ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.08
โดย ณ 31 ธันวาคม 2566 ธนาคาร (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 17.46 และมีเงินกองทุนทั้งสิ้นร้อยละ 20.65 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของ ธปท. รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด