PROUD ส่งซิกรายได้ปี 67 โตเท่าตัว หลังตุน “แบ็กล็อก” 1.1 หมื่นล้านบาท
PROUD ส่งซิกผลงานปี 67 สดใส คาดรายได้ 2.6 พันล้านบาท โต 100% หลังตุนแบ็อกแน่น 1.1 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้ยอดโอนโรงการพระราม 9-หัวหินต่อเนื่อง ขณะที่ปีนี้วางงบกว่า 1 พันล้านบาท ลุยลงทุนที่ดินแห่งใหม่
นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2567 ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยคาดการณ์ว่ารายได้ในปีนี้จะโตเท่าตัว อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งรายได้และกำไร โดยคาดการณ์ว่ารายได้จะอยู่ที่ 9,500 ล้านบาท เป็นผลจากการรับรู้ยอดโครงการที่ทยอยขายออกไปได้หมดแล้ว
โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (backlog) อยู่ราว 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับรู้ยอดโอนจากโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน (Nue Cross Khu Khot Station) ที่ได้ลงนามสัญญาซื้อหุ้นสามัญจาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ NOBLE และโครงการ Vi Ari (วี อารีย์) บ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury บนทำเลหายากย่านธุรกิจสำคัญใจกลางอารีย์ ซอย 3
ขณะที่ปี 2567 นี้ คาดการณ์ว่าจะรับรู้ยอดโอนจาก โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม High-rise ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม High-rise ราว 6,000 ล้านบาท และโครงการเวหา หัวหิน กว่า 1,000 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากยอดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้ ซึ่งแยกเป็นชาวต่างชาติที่ 45% นำโดยชาวรัสเซียคิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนชาวต่างชาติทั้งหมด รวมกับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ 55% นอกจากนั้นแล้วยังทยอยรับรู้รายได้จากโครงการ ROMM CONVENT (รมย์ คอนแวนต์) อีกด้วย
สำหรับในปี 2567 นี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 1,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินเพิ่ม โดยมุ่งเน้นพื้นที่ในกรุงเทพ-ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด รวมถึงกำลังเจาะหาพื้นที่แถบภูเก็ตและพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและมีดีมานด์สูง โดยเฉพาะในภูเก็ต ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เร่งผลักดันโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 จะทำให้มียอดนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่ม ซึ่งเป็นผลดีกับบริษัทได้
นอกจากนี้ นายภูมิพัฒน์ กล่าวเพิ่มว่า สำหรับนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลนั้น ไม่มีผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากทาง PROUD ได้ล็อคต้นทุนกับผู้รับเหมาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะช่วยปิดความเสี่ยง และส่วนใหญ่โครงการอสังหาริมทรัพย์ ราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท จะมีปัญหาเรื่องของยอดปฏิเสธจากสินเชื่อธนาคารมากถึง 70% แต่บริษัทเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ Luxury จึงไม่ได้รับผลกระทบในส่วนนี้เช่นกัน