MINT โชว์ผลงานท้ายปี 66 พีกกว่าก่อน “โควิด” แย้มโตต่อ “ฟรีวีซ่า” ดันยอดพักพุ่ง

MINT โชว์ผลงานท้ายปี 66 พีกสูงก่อนโควิด รับสัญญาณโตต่อปีนี้ อานิสงส์มาตรการยกเว้นวีซ่าและนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวไทย ดันอัตราการเข้าพักกว่า 75% เพิ่มขึ้นกว่า 10% คาดยอดจองโรงแรมเดือนม.ค. ถึง ก.พ. พุ่ง 20-30% ในปี 67


บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารเปิดเผยผลประกอบการโรงแรมในช่วงสิ้นปี 66 สูงกว่าระดับในช่วงก่อนโควิดแล้ว และมีแนวโน้มดีต่อเนื่องในปี 67 นี้ ขณะที่ส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยผลักดันการท่องเที่ยวของไทย และมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทยในเดือนธ.ค. 66 รวมไปถึงโรงแรมของ MINT ในประเทศไทยแสดงอัตราการเข้าพักกว่า 75% และค่าห้องเฉลี่ย (Average Daily Rate) ที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนนับเป็นอัตราเติบโตที่เหนือกว่าระดับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 62

โดยบริษัทคาดการณ์แนวโน้มที่สดใสต่อเนื่องในปี 67 จากปริมาณการจองห้องพักของโรงแรมในประเทศไทยช่วงเดือนม.ค. และ ก.พ.ปี 67 ที่สูงกว่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 20-30% และจำนวนห้องพักที่นักท่องเที่ยวชาวจีนได้จองไว้ก็พุ่งทะยานไปเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับการรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทยกลับมาแซงหน้านักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้

ขณะที่ มร.วิลเลียม ไฮเน็ค ประธานกรรมการบริษัท กล่าวว่าถึงแม้ประเทศจีนกำลังเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในขณะนี้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณฟื้นตัวที่ดีของภาคการท่องเที่ยวของไทย

ทั้งนี้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทที่กระจายอยู่เกือบ 60 ประเทศทั่วโลก ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลก ทั้งการเดินทางท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจส่วนหนึ่งเป็นผลมาจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ และกำไรในแต่ละปีได้ตามแผนธุรกิจ

ขณะเดียวกันฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทยังช่วยให้บริษัท สามารถเร่งชำระหนี้ก่อนกำหนด และลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับเพียง 1 เท่า ณ สิ้นปี 66 โดยมุ่งมั่นที่จะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อไปในภาวะปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยยังคงสูงอยู่ เพื่อเพิ่มอัตราทำกำไรสุทธิให้มากขึ้นอีก

“โดยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเว้นวีซ่า การขยายเวลาเปิดให้บริการของสถานบันเทิง การลด-เลิกภาษีไวน์ สุรา และการสร้างสัมพันธ์กับนักลงทุนต่างชาติเพื่อดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ประเทศไทยสามารถทำเพิ่มเติมได้” มร. วิลเลียม กล่าว

อีกทั้งยังมีข้อเสนอต่อรัฐบาลในการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งเสริมด้าน “ซอฟท์เพาเวอร์” ทั้งการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยใช้สถานที่ในประเทศไทยที่แสดงถึงทัศนียภาพอันสวยงามและอัธยาศัยของคนไทย อาหารไทย รวมถึงการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ซึ่งอาศัยการผสมผสานภูมิปัญญาอันเก่าแก่ของประเทศไทยเข้ากับเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับมาตรฐานโลก ด้านกีฬาตลอดจนดนตรี

ทั้งนี้เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ โดยนายวิลเลียมเห็นว่า รัฐบาลสามารถใช้มาตรการทางการเงิน (incentive)  สนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตระดับโลกในเมืองไทยให้มากขึ้น ดังเช่นที่ได้ให้การสนับสนุนการถ่ายทำหนังและภาพยนตร์ในประเทศไทย

นอกจากนี้เน้นย้ำถึงการสนับสนุนสายการบินและสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน รวมถึงการปรับลดค่าโดยสารให้เหมาะสมยิ่งขึ้นการทำการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศใหม่ๆ เพิ่มความหลากหลายและลดความเสี่ยง อีกทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น ในไตรมาส 2 และ 3 ของแต่ละปี การส่งเสริมวีซ่าเกษียณอายุ ซึ่งไม่เพียงแต่จะดึงดูดชาวต่างชาติที่เกษียณแล้วให้มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สูงขึ้น จากมูลค่าการใช้จ่ายด้านสุขภาพ การแพทย์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

นอกจากนี้การสานความสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจและสังคมกับจีนอย่างแน่นแฟ้นเพื่อให้ประเทศจีนยังคงเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ซึ่งการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการพิจารณายกเว้นวีซ่าให้มีระยะเวลาที่ยาวขึ้น พร้อมปิดท้ายว่ามั่นใจนโยบายต่างๆ เหล่านี้จะช่วยผลักดันธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกในปี 67 นี้

Back to top button