TGE อัดงบหมื่นล้าน รุกพลังงานทดแทน 200 MW ปี 75 ปักธงรายได้ปีนี้โตเกิน 10%
TGE อัดงบหมื่นล้านปี 67-70 รุกพลังงานทดแทน ดันกำลังผลิตไฟฟ้าแตะ 200 เมกะวัตต์ ปี 75 ลั่นรายได้ปีนี้โตเกิน 10% ทะลุพันล้าน มั่นใจลุยประมูลโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 2 แห่ง 19.8 เมกะวัตต์ ฉลุย! แย้มลุยขยายลงทุนต่างประเทศ “ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” กำลังการผลิตมากกว่า 20 เมกะวัตต์ คาดชัดเจนภายใน 2 ปี หวังดันผลงานเติบโตก้าวกระโดดในอนาคต
นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าประเภทชีวมวลและขยะชุมชนของไทย โดยคาดว่าภายในปี 2575 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 200 เมกะวัตต์
สำหรับปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 76.6 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น 1.ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวล มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 เมกะวัตต์ จำนวน 3 โครงการ ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ใน อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี, 2.ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากขยะชุมชน กำลังการผลิตติดตั้งรวม 39.9 เมกะวัตต์ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าขยะชุมชนในพื้นที่ จังหวัดสระแก้ว, จังหวัดชุมพร, จังหวัดราชบุรี, จังหวัดชัยนาท และจังหวัดสมุทรสาคร และ 3.ธุรกิจรับบริหารจัดการโรงไฟฟ้าชีวภาพ 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิตรวม 7 เมกะวัตต์
ส่วนความคืบหน้าธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากขยะชุมชนกำลังการผลิตติดตั้งรวม 39.9 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าขยะชุมชนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว,ชุมพร,ราชบุรี,ชัยนาท และสมุทรสาคร ขณะนี้โครงการในพื้นที่สระแก้ว ,ชุมพร,ราชบุรี ชัยนาท เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/2567 และคาดว่าโครงการจังหวัดสระบุรี,ชุมพร และราชบุรี จะสามารถ COD ได้ในช่วงไตรมาส 4/2568 ส่วนโครงการในจังหวัดชัยนาทคาดว่าจะสามารถ COD ได้ในไตรมาส 1/2568
นอกจากนี้ยังมีอีกโครงกาพลังงานไฟฟ้าจากขยะชุมชนอยู่ระหว่างการยื่นประมูล 2 โครงการได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และอุบลราชธานี โดยโครงการในอุบลราชธานีคาดจะทราบผลภายในเดือนมกราคม 2567 และคาดว่าจะเซ็นสัญญาขายไฟ (PPA) ในไตรมาส 3/2567 และเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4/2567 และคาด COD ในไตรมาส 4/2569 ส่วนโครงการในปราจีนบุรี คาดว่า TOR จะประกาศผลภายในเดือนมกราคม 2567 และคาดว่าจะเซ็นสัญญาซื้อขายไฟ(PPA)ในไตรมาส 3/2567 และเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4/2567 และคาดเริ่ม COD ในไตรมา 4/2569
ด้านนายพงศ์นรินทร์ กล่าวอีกว่า TGE มุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล และพลังงานจากขยะชุมชน โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังศึกษาพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งมีแนวโน้มจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ TGE พร้อมสนับสนุนและลงทุนในพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือกที่ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิง ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยปัจจุบันบริษัทฯสามารถกักเก็บ Carbon Credit จากโครงการต่างๆ มีปริมาณสะสมประมาณ 1.2 แสนตัน และสามารถจัดจำหน่ายให้กับองค์กรที่มีความต้องการ อย่างไรก็ตามจากกลยุทธ์ต่างๆคาดว่าในปีนี้จะมีรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 10%
ด้านนายดลวัฒน์ จิตโสภณ ผู้จัดการส่วนบัญชีและการเงิน เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 2566 คาดว่ารายได้จะเติบโต 3-5% ส่วนปี 2567 คาดว่าเติบโตมากกว่า 10% แตะระดับ 1,000-1,100 ล้านบาท และปี 2568 คาดว่ารายได้อยู่ที่ 1,200 -1300 ล้านบาท และปี 2569-2570 คาดว่ารายได้จะเติบโตก้าวกระโดด โดยปี 2569 คาดอยู่ที่ 2,500-2,600 ล้านบาท ส่วนปี 2570 คาดจะอยู่ที่ 3,500-3,600 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทตั้งงบลงทุนปี 67-70 มูลค่า 9,500-10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ โดเงินทุนส่วนใหญ่นำมาจากสถาบันการเงินสัดส่วนประมาณ 75% โดยขณะนี้สถาบันการสนใจที่จะมาปล่อยกู้ให้ 3-4 ราย และเงินทุนที่เหลืออีก 25% มาจากส่วนของกระแสเงินสดจากธุรกิจราว 600-700 ล้านบาท และส่วนของทุนจากกาแปลงวอร์แรนต์ และเงินจากการระดมทุน IPO โดยปัจจุบันเหลือราว 400 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังการผลิตมากกว่า 20 เมกะวัตต์ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาในลักษณะการร่วมลงทุนกับพันธมิตร คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 2 ปีจากนี้
ส่วนล่าสุดการทำสัญญาบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพในฐานะผู้รับจ้างกับ บริษัท ท่าฉาง ไบโอแก๊ส จำกัด (TBG) โดยมีระยะเวลาของสัญญา 4 ปี 9 เดือนนับจากวันที่มีผลผูกพันตามสัญญา โดย TGE จะเข้าบริหารจัดการโรงไฟฟ้า 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิต 2.8 เมกะวัตต์ และ 4.2 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดย TGE จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557-วันที่ 31 ธันวาคม 2571 โดยจะทยอยรับรู้เข้ามา 70 ล้านต่อปี