SCGP ปักธงรายได้ปีนี้ 1.5 แสนล้าน รับดีมานด์ฟื้น เดินหน้า M&P สยายปีกอาเซียน
SCGP ตั้งเป้ารายได้ปี 67 แตะ 1.5 แสนล้านบาท รับดีมานด์ฟื้น เน้นบริหารต้นทุน วางงบปีนี้ 1.5 หมื่นล้านบาท เดินหน้า M&P สยายปีกอาเซียน เตรียมจ่ายปันผล 0.25 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 2 เม.ย.67 กำหนดจ่าย 22 เม.ย.67
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ปี 2567 ฟื้นตัว โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน เช่น ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศจีน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ในประเทศอยู่ที่ 40% และรายได้ต่างประเทศ 60% โดยจะเน้นประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก
ทั้งนี้มีปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มลดลงจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่ราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลมีแนวโน้มทรงตัวจนถึงเพิ่มขึ้น และการปรับค่าระวางเรือขนส่งสินค้าที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 1/2567 มองว่าดีมานด์จะเห็นความชัดเจน จากการเติบโตของเงินเฟ้อชะลอตัว น่าจะช่วยให้บริษัทขนาดกลาง-เล็ก (SME) มีกำลังในการใช้จ่ายมากขึ้น ประกอบกับเริ่มมีเทศกาลตรุษจีนเข้ามา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามก็ยังมีปัจจัยลบในเรื่องของค่าระวางเรือสูง ค่าขนส่ง จากสถานการณ์ทะเลแดงที่ยังมีความตึงเครียดและมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องด้วยบริษัทมีการส่งสินค้าไปยังยุโรปด้วย แต่เบื้องต้นยังกระทบไม่มากนัก โดย SCGP จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดในอาเซียนที่มีโอกาสเติบโตสูงเป็นหลัก อาจจะกระทบมาร์จิ้นไม่เยอะ
โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้อยู่ที่ 150,000 ล้านบาท หรือเติบโต 15% ผ่านกลยุทธ์การขยายในธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง อย่างธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์ การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจ และการบริหารจัดการต้นทุนลดลง 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและต้นทุนการผลิตผ่านการใช้พลังงานชีวมวลการวิเคราะห์และเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการยกระดับการทำงานสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) ผ่านการใช้เทคโนโลยี รวมถึงการขับเคลื่อน ESG เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือก พร้อมทั้งดำเนินงานเพื่อก้าวสู่เป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593
สำหรับงบลงทุนปีนี้อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพเติบโตสูง อย่างธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ เฮลท์แคร์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์ การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจ โดยปีนี้คาดว่าจะมีการลงทุนควบรวมกิจการและร่วมมือกับพันธมิตร (Merger & Partnership – M&P) ราว 1-2 โครงการ จากปีก่อนปิดดีล M&P อยู่ที่ 3 โครงการ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีเงินสดอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท แต่ละปีจะมี cash flow เข้ามาต่อเนื่อง และในปีนี้จะมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ โดยมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและหุ้นกู้ที่กำลังจะทยอยออกมา
ขณะเดียวกันบริษัทรายงานผลประกอบการปี 2566 มีรายได้จากการขาย 129,398 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 จากปีก่อน มี EBITDA 17,769 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากปีก่อน และมีกำไรสำหรับปี 5,248 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากปีก่อน โดยมีอัตรา EBITDA Margin ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14 จากปีก่อนที่ร้อยละ 13 จากการมุ่งเน้นบริหารต้นทุนและการผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ มียอดขายบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังแข็งแกร่ง แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมกระดาษบรรจุภัณฑ์ปีที่ผ่านมามีการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น และมีปัจจัยอัตราเงินเฟ้อและภาวะดอกเบี้ยซึ่งส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค
ทั้งนี้ปัจจุบันสถานการณ์ราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษในภูมิภาคผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในภูมิภาคอาเซียนและประเทศจีน
โดยคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.55 บาท โดยบริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลงวดระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 22 เมษายน 2567 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2567 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2567