SIRI ปักธงปีนี้ยอดโอน 4.3 หมื่นล้าน หนุนกำไรนิวไฮรอบ 41 ปี โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 2.06 บาท

“แสนสิริ” ปักธงปี 67 กำไรโตนิวไฮในรอบ 41 ปี ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ 43,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% หลังตุนแบ็กล็อก 18,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายปี 67 ไว้ที่ 52,000 ล้านบาท เติบโต 10% เล็งเปิด 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท บล.ฟิลลิป มองปี 67 เปิดโครงการในระดับเหมาะสม มิกซ์พอร์ตให้อยู่ในระดับราคาที่สูงขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 2.06 บาท


นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตสำคัญที่บริษัทก้าวเข้าสู่ปีที่ 41 โดยบริษัทตั้งเป้าหมายจะมีกำไรสุทธิในปี 2567 สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 41 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ถือเป็นการก้าวต่ออย่างมั่นคงจากปี 2566 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์ไว้ที่ 43,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปี 2566 แบ่งเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการแนวราบ 30,000 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์รวม และเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการคอนโดมิเนียม 13,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์รวม ซึ่งล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วง 3 ปีจากนี้

ขณะที่ในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายยอดขาย (Presale) ไว้ที่ 52,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน ซึ่งในปี 2567 บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวนรวม 46 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 61,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการเปิดตัวโครงการทั้งหมดแล้ว แบ่งเป็นกลุ่มโครงการแนวราบ จำนวน 26 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 35,000 ล้านบาท และเป็นกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 26,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักซ์ชัวรี่มากขึ้น

ด้าน นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ SIRI เปิดเผยว่า เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย

1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่าผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ปี 2566 อยู่ที่ 12.4%

2.บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปี 2567 บริษัทจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า โดยภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทพร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ตลอดจนกลับไปรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ โดยมีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท เติบโตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%

3.ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของบริษัท เพื่อรักษามาตรฐานความเป็นหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกมิติ และทุกโครงการของบริษัท ยังมั่นใจถึงคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยด้วยทีมงานมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกการดูแล จากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พร้อมส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและ Stakeholder ที่เกี่ยวข้อง

ส่วน นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมได้ที่ 39,000 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีก่อน ขณะที่ในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 4,279.88 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายในปี 2566 อยู่ที่ 49,000 ล้านบาท โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 44 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 65,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทวางงบลงทุนสำหรับใช้ซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับลงทุนในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปี 2568-2569 ขณะเดียวกันในปี 2567 บริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อนำมาชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดตามช่วงเวลาตลอดทั้งปี

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สำหรับ SIRI ในปี 2567 เปิดตัว 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาท  แม้ลดลงกว่าปีก่อน แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง โดยแบ่งเป็นแนวราบ 26 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาท  ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน โดยเน้นไปที่บ้านระดับราคากลางเป็นหลักเป็นสัดส่วน 44% เพื่อเติมพอร์ตให้สมดุลเข้าถึงดีมานด์ในทุกระดับราคา และเห็นช่องว่างทางการตลาดที่ยังเข้าไปได้, บ้านระดับราคาสูงเป็นสัดส่วน 38% โดยมีไฮไลท์อย่าง Narasiri บางนา กม.10 อยู่ในโซนตะวันออก ทำเลดี มีอัตราเติบโตสูง และเศรษฐสิริ ที่เป็นแบรนด์ที่ขายดีที่สุดของ SIRI ส่วนคอนโดเปิด 20 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เกือบครึ่งเปิดในหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ โดยคาดหวังรายได้กลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้น

นอกจากนี้ SIRI มองว่าระดับซัพพลายต่อระยะเวลาการขายในส่วนของแนวราบอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเปิดโครงการเพิ่มขึ้นมากเพราะจะเป็นต้นทุนจม และปรับพอร์ตให้มีสัดส่วนบ้านระดับราคาสูงเพิ่มมากขึ้น, ส่วนของคอนโดด้วยสต๊อกที่เหลืออยู่น้อย จำเป็นต้องเปิดโครงการมาเติมเพิ่ม โดยเน้นระดับราคา affordable เจาะกลุ่มผู้ลงทุนใน campus condo และหัวเมืองท่องเที่ยวในต่างจังหวัด

สำหรับในปี 67 ตั้งเป้า Net presale 45,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เติบโตทั้งแนวราบและแนวสูง คาดการณ์รายได้โอนเติบโตจากงวดเดียวของปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้เน้นไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ราว 60% คาด GPM ที่ 32.8% ลดลงจากงวดเดียวของปีก่อน ผู้บริหารมองว่าอาจต้องทำโปรโมชั่นมากกว่าปี 2566 และมีสัดส่วนโอนในโซนกรุงเทพกรีฑาลดลง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นโดดเด่น คาดกาไรสุทธิอ่อนตัวจากช่วงเดียวของปีก่อน ซึ่งทางฝ่ายไม่ได้ประมาณการกำไรพิเศษเข้ามา แต่ปี 2566 ที่มีกำไรพิเศษเข้ามาช่วย

โดยปีนี้อาจเห็นงบซื้อที่ดินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ลดลงจากงวเดียวของปีก่อน ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินเพียงพอปีถึงปี 68 แล้ว และจะทาให้ IBD/E ในปี 67 ลดลงได้อยู่ราว 1.55-1.60 เท่า

อย่างไรก็ตาม SIRI ยังคงสร้างความเป็นผู้นำในกลุ่มอสังหาฯ เติบโตด้วยโครงการพร้อมขายมีเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง NO.1 ใน luxury property market ยอดขายกว่า 7 พันล้านบาทในปี 2566 และเป็นบริษัทฯที่จ่ายปันผลในระดับสูง คาดปันผลรอบครึ่งหลังของปี 2566 ที่ 0.11 บาท คิดเป็น 6.4% จากราคาปัจจุบัน ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตฯในช่วงเวลาเดียวกันที่ราว 4.0-4.5% ดังนั้นยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 2.06 บาท

Back to top button