คัด 15 หุ้น รับเทศกาล “ตรุษจีน” เม็ดเงินสะพัด 3.4 หมื่นล้านบาท
เปิด 15 หุ้น รับอานิสงส์เทศกาล “ตรุษจีน” เม็ดเงินสะพัด 3.4 หมื่นล้านบาท เน้นกลุ่มอาหาร-ค้าปลีก-ท่องเที่ยว ชู GFPT, TFG, CPF, AOT, MINT, ERW, AAV, MAKRO, CPALL, AURA คาดแรงซื้อเก็งกำไรคึกคัก
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมจากเทศกาลตรุษจีนช่วงระหว่างวันที่ 8-16 ก.พ. 2567 เนื่องจากประชาชนไทยเชื้อสายจีนจะมีการเฉลิมฉลองและออกมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าอย่าง อาหาร, เครื่องดื่ม, ผลไม้ เพื่อนำมาเป็นของไหว้ รวมถึงจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้ามาไทยจำนวนมาก ทำให้ธุรกิจสายการบิน รวมถึงโรงแรมได้รับประโยชน์ตามไปด้วยโดยในปีนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะเกิดรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 34,390 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่ากลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์อาทิ กลุ่มอาหาร (GFPT, TFG, CPF), กลุ่มโรงแรมและสายการบิน (AOT , MINT, ERW, CENTEL,BA, AAV, SPA,), ธนาคารพาณิชย์ BBL) ,ค้าปลีก (MAKRO ,BJC, CPALL) รวมทั้งทองคำ(AURA) ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรในช่วงสัปดาห์ตรุษจีน
ด้านนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 ระหว่างวันที่ 8-16 ก.พ. 2567 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)คาดว่าจะเกิดรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 34,390 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่านักท่องเที่ยวเชื้อสายจีน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวฮ่องกง และนักท่องเที่ยวไต้หวัน จะเดินทางเข้าเที่ยวไทยราว 195,825 คน เพิ่มขึ้น 137% มีรายได้รวม 11,404 ล้านบาท เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากบรรยายกาศการท่องเที่ยวที่ดี ทั้งจากมาตรการวีซ่าฟรีและจํานวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น
โดยคาดว่าใน 3 ตลาดนี้ นักท่องเที่ยวจีน จะเดินทางเข้ามามากที่สุดราว 150,295 คน เพิ่มขึ้น 335% จากเทศกาลตรุษจีนปี 2566 แต่ก็ถือว่ายังน้อยกว่าปี 2562 ประมาณ 50% จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเดินทางเข้ามาราว 299,466 คน ส่วนนักท่องเที่ยวฮ่องกง คาดว่าอยู่ที่ 22,830 คน ยังน้อยกว่าปี 2566 อยู่ราว 6% แต่มากกว่า 11% เมื่อเทียบกับปี 2562 ในส่วนของนักท่องเที่ยวไต้หวัน คาดว่าอยู่ที่ 22,700 คน น้อยกว่าปี 2566 ที่มีจำนวน 24,160 คน แต่มากกว่าปี 2562 ที่มีจำนวน 20,450 คน
สำหรับการใช้จ่ายเฉลี่ยเทศกาลตรุษจีน 2567 คาดว่ารายได้ที่เกิดจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวเชื้อสายจีน 58,236 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นจากเทศกาลตรุษจีนปี 2566 ในอัตรา 8% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 ในอัตรา 25% หรือ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 46,747 บาทต่อคนต่อทริป
การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่ปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่จัดการเดินทางด้วยตนเอง และนิยมเข้าพักในสถานพักแรมขนาดใหญ่ หรือสถานพักแรมที่มีราคาสูง
ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สำหรับการท่องเที่ยวช่วงตรุษจีน 2567 เทียบกับปี 2566 คาดว่าจะมีรายได้รวม 34,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น อัตรา 29% แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 995,000 คน เพิ่มขึ้น 34% สร้างรายได้ 28,390 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36% แต่หากแยกออกมาเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ จะสร้างรายได้ประมาณ 6,213 ล้านบาท
ขณะที่การเดินทางเที่ยวในประเทศของคนไทยเชื้อสายจีน คาดว่าจะมีจำนวน 2 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 10% และมีรายได้รวม 6,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ด้านนายจักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการตลาดมูเตลูช่วยมีส่วนผลักดันให้คนรุ่นใหม่หันมาจับจ่ายซื้อสินค้าช่วงเทศกาลตรุษจีนในช่วงอายุที่เด็กลงจาก 35-55 ปี เป็น 30-50 ปี และมีการใช้เงินต่อคนมากขึ้นจากช่วงปกติถึง 38% ขณะเดียวกันมีการกระตุ้นท่องเที่ยวจากภาครัฐ มาตรการอีซี่ อี-รีซีท รวมทั้งการส่งเสริมการขายของภาคเอกชน ส่งผลให้คาดว่าภาพรวมการบริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน 67 ปีนี้ จะเติบโตได้ 5-10% จาก 45,000 ล้านบาท ในปี 66
ขณะที่ราคาสินค้าปีนี้คาดว่าปรับขึ้นตามทิศทางเงินเฟ้อ โดยที่สินค้าพื้นฐานยังมีระดับราคาใกล้เคียงจากเดิม แต่มีความหลากหลายมากขึ้น อย่างชุดไหว้ในท็อปส์ปีนี้มีจำหน่ายราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 415-6,990 บาท ลูกค้าส่วนใหญ่ 70% เป็นกลุ่มผู้หญิง โดยพยายามซื้อสินค้าให้ได้คุณภาพ
ทั้งนี้ จากข้อมูลดาต้าลูกค้าของท็อปส์ในช่วงเทศกาลตรุษจีนในปี 66 พบว่า เทรนด์การบริโภคส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าของไหว้ที่ถูกต้องตามประเพณี โดยเน้นทั้งคุณภาพและความมงคล โดยในปี 66 ยอดจับจ่ายซื้อสินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์ และกลุ่มอาหารทะเล คิดเป็น 44% กลุ่มผักและผลไม้ 24% และกลุ่มอื่นๆ 32% นอกจากนั้น ยอดขายการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าสินค้าตรุษจีนของท็อปส์ ที่เติบโตขึ้น 38.4%
ขณะเดียวกับผู้บริโภคหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น จึงปรับตัวโดยยังไหว้ แต่ลดการจุดธูปและเผากระดาษในช่วงเทศกาลตรุษจีนเพื่อลดการก่อมลพิษ รวมถึงการมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนและยังให้ความสำคัญกับความสะอาดและความปลอดภัยของอาหาร เพื่อนำมาบริโภคหลังการไหว้ รวมทั้งกระแสมูเตลูที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและแทรกซึมเข้าไปอยู่ในธุรกิจต่างๆ
ด้านบล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สำหรับแนวโน้มในปี 67 นับตั้งแต่ต้นปีราคาเนื้อสัตว์ในประเทศเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุดราคาสุกรอยู่ที่ระดับ 70 บาท/กก.แล้ว แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการช่วงใกล้ตรุษจีน ทำให้ยังต้องรอดูว่าราคาจะยืนระยะได้หรือไม่ ทั้งนี้สิ่งที่ต้องติดตามเพิ่มคือหลังภาครัฐทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจจะช่วยเพิ่มความต้องการบริโภคได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตามผลประกอบการคาดว่าจะพลิกมามีกำไรสุทธิได้ส่วนหนึ่งมาจากส่วนแบ่งของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ที่ประเมินว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นมาสูงกว่า 21,000 ล้านบาทได้ ทั้งนี้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” เก็งกำไรเท่านั้น โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 25.6 บาท
นอกจากนี้ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/67 น่าจะดีขึ้นบ้าง จากการที่ราคาหมูในเวียดนามขยับสูงขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง โดยยังคงคำแนะนำถือ และประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 19.60 บาท
ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์(24 ม.ค.67) ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมช่วง 1-21 ม.ค.67 เพิ่มขึ้น 47% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยจากจีนเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นมาเลเซีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และอินเดียเป็นข่าวบวกกับหุ้นท่องเที่ยว หุ้นเด่นแนะนำซื้อ ได้แก่ ERW, SPA, BA
ขณะที่บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์(24 ม.ค.67) ว่า รายงานนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์ (14-21 ม.ค.67) เป็นภาพบวก +2.9% เทียบสัปดาห์ก่อนสู่ 7.15 แสนคน นำโดยนักท่องเที่ยวจีนพุ่งขึ้น 15% เทียบสัปดาห์ก่อนมาที่ 1.2 แสนคน ทำจุดสูงสุดรายสัปดาห์นับจากกระทรวงท่องเที่ยวรายงาน ก.พ. 66 หรือจีนเปิดประเทศอีกครั้ง ตามด้วยมาเลเซีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และอินเดีย หนุนนักท่องเที่ยวช่วง 1-21 ม.ค.67 อยู่ที่ 2.0 ล้านคน
โดยมองทั้งเดือน ม.ค.67 เร่งสู่ 3.0 +/- ล้านคน และเป็นฐานที่ดีหนุนนักท่องเที่ยวทั้งปีใกล้เคียงที่คาด 35.6 ล้านคน มี Upside จาก Consensus มอง 32 +/- ล้านคน บวกต่อหุ้นท่องเที่ยว และกลุ่มที่มีฐานลูกค้าจีนสูง อาทิ AOT , MINT , AAV, SPA เป็นต้น
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า ERW แนะนำซื้อเป้า IAA Consensus 6.10 บาท แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/66 จะออกมาดีจาก High season วันนี้มีประเด็นบวกจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนพุ่งแตะระดับ 1.2 แสนคนต่อสัปดาห์ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
บล. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์(24 ม.ค.67) ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น MINT ราคาเป้าหมาย 35 บาท เนื่องจากเป็นหุ้นแลกการ์ดในกลุ่มโรงแรม คาดการณ์กำไรปกติทรงตัวจากปีก่อน และไตรมาสก่อน แม้ธุรกิจโรงแรมในไทยจะมี Occ. Rate ที่ดีขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ธุรกิจโรงแรมในยุโรปคาดการณ์ว่าจะมี Occ. Rate อ่อนตัวลงในธ.ค.66
อีกทั้งมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น โดยรวมคาดการณ์กำไรปกติปี 66 จะเติบโตกว่า 2 ตัวเท่าจากปีก่อนหน้าและจะฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 67 อีกราว 21% จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินบาทอ่อนค่า และกลุ่มนักท่องเที่ยว Leisure ในโซนยุโรป รวมถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากแผนใช้เงินสดราว 6-7 พันล้านบาท ในงวดไตรมาส 4/66 ชำระหนี้ก่อนครบกำหนด
บล. ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (24 ม.ค. 67) ว่า คงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2567 จะอยู่ที่ 33 ล้านคน เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์คือหุ้นในกลุ่มโรงแรม โดยแนะนำ “ซื้อ” หุ้น AAV ราคาเป้าหมายที่ 2.70 บาท โดยได้ประโยชน์ที่นักท่องเที่ยวจีนที่เติบโตดีสุด เนื่องจากมีสัดส่วนเส้นทางบินจีนสูงสุด (ปี 2562 มีสัดส่วนผู้โดยสารจีนคิดเป็น 30% ของผู้โดยสารระหว่างประเทศ) และความต้องการท่องเที่ยวที่สูงทำให้ค่าตั๋วโดยสารจะยังทรงตัวสูงต่อเนื่อง