ดักเก็บ 4 หุ้น รับเทศกาลตรุษจีน-นักท่องเที่ยวพุ่ง ชู MINT-CPALL ท็อปพิก
ส่อง 4 หุ้นกลุ่ม “ท่องเที่ยว-ค้าปลีก” AOT- ERW- MINT - CPALL ได้รับประโยชน์นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เข้าไทยช่วง 1 เดือนแรก (1-31 ม.ค. 67) สร้างรายได้สะสมทะลุ 1.4 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มจะเร่งขึ้นต่อจากเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นสัปดาห์ของเดือน ก.พ. ฟากโบรกชู MINT-CPALL ท็อปพิก!
สัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ (5-9 ก.พ. 67) ตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวนเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่หนุน ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปี 67 เพื่อกำหนด “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” นัดแรก จะมีขึ้นวันพุธที่ 7 ก.พ. 67 แต่อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากรัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง
โดยการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์กระตุ้นมูลค่าการท่องเที่ยว เพิ่มเม็ดเงินเข้าประเทศ และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศจากการท่องเที่ยว คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประมาณ 34,390 ล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน โดยเชื่อว่าตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะสร้างรายได้ประมาณ 6,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 366% จากปีก่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์ว่าจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประมาณ 177,000 คน
ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 1 เดือนแรก (ตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2567) พบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 3,035,296 คน เติบโต 42% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว และสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 147,922 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 และมีแนวโน้มจะเร่งขึ้นต่อจากเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นสัปดาห์ของเดือน ก.พ.
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์จากปัจจัยข้างต้นจึงแนะนำสัปดาห์นี้ลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อาทิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW และ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และกลุ่มค้าปลีก คือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ได้รับปัจจัยบวกนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตกว่า 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในเดือน ม.ค. 67
สำหรับหุ้น AOT นั้น จะเป็นผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์โดยตรง เนื่องจากทางการไทยและจีนมีการลงนามให้ยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางซึ่งกันและกัน (วีซ่าฟรี) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 24 ซึ่งคาดว่าด้วยการเปิดฟรีวีซ่าดังกล่าวจะทำให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปยังประเทศจีนมากขึ้น เทียบกับตอนที่ญี่ปุ่นและไต้หวัน ที่มีการฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 300% และ 170% ตามลำดับ โดย AOT จะมีรายได้จากค่าบริการผู้โดยสารขาออกเพิ่มขึ้น (Passenger service charge) นอกจากนี้หากมีการเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้นก็มีโอกาสที่จะได้รับรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์จากร้านค้าในสนามบินมากขึ้นเช่นกัน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ERW จะได้อานิสงส์โดยตรงจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย เนื่องจากประมาณ 90% ของรายได้ทั้งเครือมาจากกิจการโรงแรมในประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่า อัตราการเข้าพักจะเพิ่มขึ้นเป็น 81-84% ในช่วงปี 66-69 โดยอ้างอิงจากประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 33 ล้านคนในปี 2567 เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 83% ของระดับก่อน COVID ระบาด ทั้งนี้ มองว่า ERW ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักได้อีก เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นท่ามกลางอุปทานห้องพักโรงแรมที่จำกัดในประเทศไทย โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 6.40 บาท
นอกจากนี้ บล.พาย ประเมินผลกำไรกำไรปกติในไตรมาส 4/2566 ของ CPALL จะอยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของปี จากยอดขายสาขาเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับการฟื้นตัวของกำไรจาก CPAXT (Makro และ Lotus’s) โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 959 คน เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 4/2566 เพิ่มขึ้นจาก 916 คนในไตรมาส 4/65 ซึ่งเพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยคาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) จะมาจากกลุ่มอาหารในไตรมาส 4/66 เพิ่มจาก 74.0% ในไตรมาส 4/65 เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองเป็นบวกต่อยอดขายของ CPALL จากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11, MAKRO และ LOTUS ที่ขยายตัวได้ทั้งหมด ขณะที่อัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Margin) คาดการณ์ว่าเร่งตัวขึ้นจากปีก่อน มาจาก Product Mix ที่เน้นสินค้า Margin สูงอย่าง Personal Care และ Ready to Eat ส่วนปัจจัยหนุนระยะสั้น คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังมีแนวโน้มเร่งตัวหนุนยอดขาย รวมถึงการรายงานงบในไตรมาส 4/66 และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 75 บาท
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดการณ์ว่ากำไรปกติในไตรมาส 4/2566 ของ MINT จะอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนหน้าโดยการเติบโตมาจากทั้งที่ไทยและยุโรป โดยในไทยมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 70% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 64% เพราะเข้าช่วง High season ซึ่งกทม. ฟื้นตัวได้ดีมากกว่าต่างจังหวัด ส่วนธุรกิจอาหารจะได้รับการฟื้นตัวจากจีนมากที่สุดอยู่ที่ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยยังคงประมาณการกำไรสุทธิในปี 67 อยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะที่ไทยและยุโรป ขณะที่คาดการณ์กำไรปกติในไตรมาส 1/67 จะเติบโตได้ดีต่อเนื่อง จาก High season ที่ไทยและมัลดีฟส์ พร้อมแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 40 บาท