“ดาวโจนส์” ปิดลบ 274 จุด หลัง “เฟด” ย้ำไม่รีบลดดอกเบี้ย-บอนด์ยีลด์พุ่ง

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดลบ 274.30 จุด รับแรงหนุนธนาคารกลางสหรัฐไม่ปรับลดดอกเบี้ย ขณะที่ถูกกดดันเพิ่มจาก “บอนด์ยีลด์” พุ่งขึ้นระดับ 4.1% หลังการเผยดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐ


ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดลบในวันจันทร์ (5 ก.พ.67) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย้ำว่าจะยังไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.1%

ขณะที่ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,380.12 จุด ลดลง 274.30 จุด หรือ -0.71%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,942.81 จุด ลดลง 15.80 จุด หรือ -0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,597.68 จุด ลดลง 31.28 จุด หรือ -0.20%

โดยนายพาวเวลให้สัมภาษณ์ในรายการ “60 Minutes” ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า (เฟด) จะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ กล่าวกับผู้ดำเนินรายการ 60 Minutes ว่าชาวอเมริกันอาจจะต้องรอคอยนานกว่าเดือนมี.ค.หากต้องการเห็น (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% และเนื่องจากเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งในขณะนี้ ซึ่งทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย

อีกทั้ง ตลาดยังถูกกดดันหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.1% หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งอาจจะส่งผลให้ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้

ด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.4 ในเดือนม.ค. จากระดับ 50.5 ในเดือนธ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.0 โดยดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัว และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13

ขณะที่ หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุร่วงลง 2.5% หลังจากบริษัทแอร์ โปรดักส์ (Air Products) ซึ่งเป็นผู้ผลิตก๊าซสำหรับงานอุตสาหกรรมได้เปิดผยตัวเลขคาดการณ์กำไรในปี 2567 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด หุ้นแมคโดนัลด์ ร่วงลง 3.7% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 6.41 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.45 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบในตะวันออกกลาง

อีกทั้ง หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 2% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 5.23 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.76 ดอลลาร์ หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.3% หลังจากโบอิ้งเปิดเผยว่าทางบริษัทจำเป็นต้องแก้งานเพิ่มเติมกับเครื่องบินรุ่น 737 MAX ประมาณ 50 ลำที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ซึ่งอาจส่งผลให้การส่งมอบเป็นไปอย่างล่าช้า หลังจากบริษัทสปิริต แอโรซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของโบอิ้ง ค้นพบว่ามีรูเจาะผิดตำแหน่ง 2 รูบนลำตัวเครื่องบิน

นอกจากนี้นักลงทุนยังคงจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัทเกือบครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดยในจำนวนนี้มี 80% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด

Back to top button