MINT ลุ้นกำไรโต 20% อัดงบ 1.3 หมื่นล้าน ปรับโฉมธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร
MINT ลุ้นกำไรปี 67-69 โตเฉลี่ย 15-20% อัดงบลงทุนปีนี้ 1.3 หมื่นล้านบาท ปรับโฉมธุรกิจโรงแรม-ขยายร้านอาหาร ชูกลยุทธ์ Asset-light กางแผน 3 ปีข้างหน้า เพิ่มโรงแรมกว่า 200 แห่ง ขยายร้านอาหารแตะ 3.7 พันสาขา รับดีมานด์นักท่องเที่ยวโตแกร่ง จ่อรุกตลาดอินโดนีเซียเพิ่ม
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 ว่า บริษัทยังเริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ ได้รับแรงสนับสนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาล ซึ่งเป็นผลบวกต่อทั้งธุรกิจโรงแรม และร้านอาหารของบริษัท ที่จะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการทั้งที่พักและร้านอาหาร
โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทได้วางงบลงทุนไว้จำนวน 10,000-13,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นธุรกิจโรงแรม (Hotel) จำนวน 70% ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงแบรนด์และห้องพักให้มีความทันสมัยมากขึ้น (Re-branding) เพื่อตอบรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง และจะช่วยสนับสนุนให้ราคาห้องพัก (Room rate) สูงขึ้น และทำให้มาร์จิ้นสูงขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโรงแรมใหม่ๆ อาทิ โรงแรม Anantara Ubud Bali ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 80% เพื่อรองรับการเติบโตของดีมานด์นักท่องเที่ยวและประชากร และสำหรับธุรกิจอาหาร (Food) จำนวน 30% มุ่งเน้นการขยายร้านอาหารไปประเทศใหม่ๆเพิ่ม
นอกจากนี้แล้ว บริษัทตั้งเป้าไปที่การลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) จาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567 ให้เหลือ 9 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่ระดับ 1 แสนล้านบาท และได้วางแผนลดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ให้เหลือ 4.3 เท่าภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่ 6 เท่า โดยยังคงเดินหน้าไนการลดหนี้ต่อเนื่องเพื่อทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ช่วยหนุนกำไรของบริษัท มาจากการที่บริษัทดำเนินธุรกิจรับบริหารจัดการโรงแรมมากขึ้น โดยบริษัทมีการควบคุมหนี้สินและเงินลงทุนได้อย่างดี และเชื่อว่าการลงทุนและการควบคุมหนี้สินที่ทำไปนั้น ว่าจะได้รับความคุ้มค่าและผลตอบแทนที่ดีกว่าเป้าหมาย
สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจในปีนี้ MINT มุ่งมั่นต่อการขยายธุรกิจสู่เวทีระดับโลก โดยการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ด้านการใช้รูปแบบธุรกิจ Asset-light model การรับจ้างบริหารโรงแรม และการขยายธุรกิจการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร โดยที่ไม่ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนเอง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและการใช้เงินลงทุนให้น้อย รวมถึงการขายแบรนด์โรงแรม (Resident Branding) โดยบริษัทเป็นผู้บุกเบิกการขายแบรนด์โรงแรมเป็นเจ้าแรกๆของเมืองไทย และคาดการณ์ว่าจะขยายไปทางยุโรปและประเทศอื่นๆด้วย ซึ่งการขายธุรกิจแบรนด์โรงแรมของบริษัทนี้ จะช่วยสร้างอัตราผลตอบแทนหลังการลงทุน (Internal Rate of Return : IRR) ประมาณ 35-40% ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งต่อผู้ซื้อและธุรกิจแบรนด์ของบริษัท
โดยการ Repositioning และ Rebranding ของธุรกิจโรงแรมตามแผนงานนั้น เพื่อทำให้บริษัทมีสัดส่วนของ Asset light มากขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรปที่จะมีการยกระดับแบรนด์ให้สูงขึ้น ซึ่งในปี 2566 ได้ Repositioning และ Rebranding โรงแรมไปแล้ว 50 แห่ง และปี 2567 จะมีอีก 28-30 แห่ง ใช้เงินลงทุนราว 50-60 ล้านยูโร ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวันของโรงแรมให้เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้สัดส่วนของ Asset light เพิ่มขึ้นเป็น 40% ใน 3 ปีตามเป้าหมายจากปัจจุบันอยู่ที่ 18%
ขณะที่คาดการณ์ว่ารายได้ในปี 2567 จะเติบโตเป็นเลข 2 หลัก และจะสามารถทุบสติรายได้ในปี 2566 ได้ ด้วยแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในเมืองไทย โดยโรงแรมในภูเก็นมีอัตราการเข้าพักสูงถึงเกือบ 100% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รวมถึงต่างประเทศเช่นกัน
ส่วนแผนการดำเนินงานในไตรมาส 1/2567 นี้ บริษัทยังคาดว่าจะมีกำไรและรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยในไทย ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น จะช่วยสนับสนุนให้รายได้ค่าเฉลี่ย (ADR) สูงขึ้น จากก่อนโควิด 19 (ปี 2019) จากการรีโนเวทแบรนด์และปรับปรุงห้องพัก โดยในไทยจะอยู่ที่ 30% และมัลดีฟอยู่ที่ 16% ส่วนธุรกิจอาหาร จะเติบโตขึ้นจากการยอดขายสาขาเดิมและการออกเมนูใหม่ๆ เพิ่ม
นอกจากนี้ ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 3 ปี (2567-2569) อยู่ระหว่าง 8-10% ส่งผลให้คาดการณ์ว่ากำไรเฉลี่ยปีละที่ 15-20% ได้รับแรงสนับสนุนมารจากธุรกิจทุกภาคส่วน และการเติบโตของภาคท่องเที่ยวอย่างแข็งแกร่ง และการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่ต่ำกว่า 10%
ขณะที่ใน 3 ปีข้างหน้านี้ MINT ตั้งเป้าขยายกลุ่มธุรกิจโดยเพิ่มโรงแรมใหม่ 200 – 250 แห่ง ไปยังยุโรป, ตะวันออกกลาง, ออสเตรเลีย และเอเชีย โดยมียอดรวมจำนวนโรงแรมอยู่ที่ 780 แห่ง จากปัจจุบัน 532 แห่ง มุ่งเน้นการขยายในต่างประเทศเป็นหลัก พร้อมกับการขยายร้านอาหารเพิ่มอีก 1,000 สาขา ให้อยู่ที่ 3,700 สาขา โดยวางเงินลงทุนไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท สำหรับธุรกิจโรงแรม แบ่งเป็น 90% ในต่างประเทศ และ 10% ในประเทศไทย โดยจะใช้กลยุทธ์การรับจ้างบริหาร (Asset light) ประกอบกับการรีแบรนด์โรงแรม ปรับโฉมโรงแรมเพื่อประสบการณ์ใหม่ๆให้กับผู้ที่เข้าพักอาศัย
ทั้งนี้ ยังคงมองหาแผนงานขยายธุรกิจใหม่ๆ สำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งจะเป็นเป้าหมายใหม่ของเรา เนื่องจากมีอัตราประขากรมาก ทำให้มีความต้องการสูงขึ้น เหมาะที่จะเข้าไปทำธุรกิจโดยเฉพาะในส่วนของอาหาร โดยขยายสาขาใหม่ของ Dairy Queen ในอินโดนีเซีย เพิ่มเป็น 10 เท่าใน 3 ปี จากปัจจุบัน 12 สาขา รวมถึงการนำแบรนด์ GAGA ไปเปิดในอินโดนีเซีย หนุนการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มศอาเซียน และการปรับปรุงแบรนด์ Swensens ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่มีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งทั้งแบรนด์ Dairy Queen และ Swensens ทำผลงานได้ดีที่สุดในกลุ่มร้านอาหาร ขณะเดียวกันก็เล็งเห็นถึงศักยภาพในอีกหลายๆประเทศ เช่น เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ จีน และอินเดีย ที่จะเป็นตลาดใหม่น่าลงทุนของบริษัทต่อไป
“ คาดการณ์ว่าปีนี้ภาคการท่องเที่ยวจะเห็นความคึกคักทั้งในไทยที่ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 35 ล้านคน จากปีก่อน 20 กว่าล้านคน และนักท่องเที่ยวในยุโรปก็น่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ MINT ให้ความสำคัญ คือ การทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทั้งในโรงแรมและร้านอาหาร เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจในกลุ่ม” นายดิลิป กล่าวทิ้งท้าย