“ม.หอการค้า” ชี้เศรษฐกิจไทยปี 67 โต 3.5% รับท่องเที่ยว-ส่งออกหนุน
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดเศรษฐกิจปี 67 โต 3 - 3.5% อานิสงส์ “ท่องเที่ยว-การส่งออก” หากมีโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” หนุน อาจเติบโตถึง 4%
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (13 ก.พ. 67) นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจและอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะพบว่าประชาชนเริ่มมองอนาคตว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นได้จากการท่องเที่ยวในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตลอดจนภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง และสินค้าเกษตรที่มีราคาดีขึ้น ดังนั้นเมื่อรวมกับปัจจัยที่คาดการณ์ว่าจะเริ่มใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ จึงทำให้เชื่อว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และเศรษฐกิจไทยน่าจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งแรกของปี 67 ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทยประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 67 จะเติบโตได้ราว 3.0-3.5% แต่หากรัฐบาลสามารถดำเนินโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่าน “ดิจิทัลวอลเล็ต” ได้เป็นรูปธรรมก็จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ มีโอกาสเติบโตได้ใกล้เคียงกับ 4% มากขึ้น
“ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยปีนี้จะมีแรงขับเคลื่อนมาจาก 4 ประสาน คือ การท่องเที่ยว, การส่งออก, ราคาสินค้าเกษตร และงบประมาณรายจ่าย ดังนั้นเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนในไตรมาส 4 ความสำคัญอยู่ที่การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง 15 ก.พ.นี้ น่าจะชัดเจนว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนนโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” ไปทางไหน และอย่างไร รวมทั้งข้อมูลจากสภาพัฒน์ที่จะออกมาวันที่ 19 ก.พ.นี้ ซึ่ง ม.หอการค้าฯ เชื่อว่าปี 66 เศรษฐกิจไทยจะยังโตได้มากกว่า 2%” นายธนวรรธน์ กล่าว
ขณะที่ เศรษฐกิจไทยปีนี้หากไม่มี “ดิจิทัลวอลเล็ต” ก็ยังเติบโตได้ ซึ่งมาจากทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยว การส่งออก รวมถึงพืชผลเกษตรที่ราคาดี ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้จะโตได้มากกว่า 3% เป็นระยะปลอดภัย แต่อยู่ที่ว่าพอใจการเติบโตในระดับนี้หรือไม่ ถ้าอยากจะโตให้ได้มากกว่า 4% หนึ่งในนั้นที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้น คือการเติมดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไป ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้นได้
นอกจากนี้ การตัดสินใจเรื่องนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เชื่อว่ากนง.จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดและรอบด้านทั้งแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ สถานการณ์เศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น (กนง.) อาจตัดสินใจไม่ปรับลดดอกเบี้ยง แต่หากเห็นสัญญาณการทรุดตัวของเศรษฐกิจ ก็เชื่อว่ามีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้ ซึ่งมติที่ประชุมล่าสุดที่เสียงออกมาไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย 5 เสียง และลดดอกเบี้ย 2 เสียงนั้น ก็ทำให้เห็นโอกาสที่ (กนง.) จะลดดอกเบี้ยในระยะต่อไปมีมากขึ้น
“ทั้งนี้ถ้าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น ธปท.อาจจะไม่ลดดอกเบี้ยก็ได้แต่ถ้าเศรษฐกิจไทยยังมีสัญญาณในการทรุดตัวลง ก็เชื่อว่า (กนง.) มีโอกาสที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง” นายธนวรรธน์ กล่าว