GGC เดินหน้ารุก “High Value Product” ดันอิบิทด้าโตเฉลี่ย 15%

GGC เดินหน้าลงทุนขยายพอร์ต รุก “High Value Product” จ่อรับรู้รายได้ธุรกิจใหม่มากกว่า 50% ดัน EBITDA CAGR โต 15% และ Competitive EBITDA Margin โต 11% ภายในปี 2573 พร้อมลุยดำเนินงานตามหลัก ESG ปักธง “Net Zero” ปี 2593


นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่าบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กร สร้างโอกาสการเติบโตในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “TO BE A LEADING GREEN CHEMICAL COMPANY BY CREATING SUSTAINABLE VALUE” ภายใต้การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนพลังแห่งการสร้างสรรค์ เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืน ผ่านยุทธศาสตร์ 3 สร้างดังนี้

1) เข้มแข็ง ในธุรกิจหลัก (Core Business) อาทิ เมทิลเอสเทอร์ (ME), แฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) และเอทานอล (EtOH) พร้อมปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้น Operational Excellence, Commercial Excellence หรือการควบคุมเพื่อลดการเกิดผลกระทบต่อธุรกิจหลัก

2) เติบโต โดยการปรับ Portfolio ให้ชัดเจนสำหรับการลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจ Bioenergy, Biochemicals และ Food Ingredients & Pharmaceutical ภายใต้เป้าหมายการดำเนินการ ได้แก่

1.โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2 (NBC2) โครงการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพรายใหญ่ Nature Works โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2025 2.โครงการ TEX Expansion โดย บริษัท ไทยอีทอกซีเลท จำกัด หรือ TEX บริษัทร่วมทุนระหว่าง GGC และ บริษัท บีเอเอสเอฟ (ไทย) จำกัด (BASF) ในสัดส่วน 50:50% ซึ่งเป็นธุรกิจที่ดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์แฟตตี้แอลกอฮอล์ อีทอกซีเลท (FAEO)

โดยเพิ่มกำลังผลิตจาก 1 แสนตันต่อปี เป็น 1.5 แสนตันต่อปี เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต 3.ต่อยอดธุรกิจภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น High Value Product ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลายน้ำให้มากขึ้น เพื่อมุ่งเน้นสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหารและโภชนเภสัช (Food Ingredients & Pharmaceutical) โดยมีแผนออกผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจนี้จะเป็น Portfolio ใหม่ที่สร้างการเติบโตและยั่งยืนให้กับ GGC เนื่องจากผลิตภัณฑ์เป็น Green ซึ่งจะมีความชัดเจนภายในปลายปี 2567

3) ยั่งยืน โดยบริษัทฯ ยึดหลักการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG และได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจจาก Decarbonization และทบทวนเป้าหมายการดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง (Business Landscape) โดยมีเป้าหมายด้านการเติบโต คือ EBITDA CAGR ที่ 15% Competitive EBITDA Margin 11% ภายในปี 2573 จากการเติบโตของธุรกิจใหม่มากกว่า 50%  โดยสามารถคงเป้าหมายด้าน Net Zero ในปี 2593 ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีการทบทวนรายละเอียดการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ให้มีความชัดเจน รวมทั้งวัดผลได้

นายกฤษฎา ยังได้กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมในปี 2567 ว่า ตลาดเมทิลเอสเทอร์ (B100) ความต้องการใช้ปรับตัวดีขึ้นจากการบังคับใช้น้ำมันมาตรฐาน EURO 5 ตามนโยบายภาครัฐ เพื่อเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการปล่อยมลพิษและฝุ่นละอองจากเครื่องยนต์ ทำให้บริษัทฯ คาดว่าภาครัฐจะยังคงสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลที่ B7 เป็นน้ำมันพื้นฐานตลอดทั้งปี และยังได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ขณะที่ภาคอุปทานของตลาดเมทิลเอสเทอร์ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นของผู้ผลิตรายเดิมและมีราคาซึ่งคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2566 ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศ

ขณะที่แฟตตี้แอลกอฮอล์ (Natural Fatty Alcohols) ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียกับยูเครน และประเทศอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสคลี่คลาย ส่งผลให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่กลับมาจัดซื้อสินค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลัง (restock) มากขึ้น โดยอุปทานโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากแผนขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตในประเทศอินโดนีเซีย และยังไม่มีแผนหยุดดำเนินการผลิตของผู้ผลิตรายอื่น และแนวโน้มราคาแฟตตี้แอลกอฮอล์ในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) ที่แข็งค่าขึ้น

สำหรับกลีเซอรีน ปรับตัวดีขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ Epichlorohydrin (ECH) ฟื้นตัว โดยเฉพาะในประเทศจีน ประกอบกับความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล (Home and Personal Care) รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารและยา มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ส่วนอุปทานปรับตัวดีขึ้นจากมีการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์รายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งนโยบายด้านพลังงานของแต่ละประเทศที่มีแนวโน้มสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น และราคาเฉลี่ยของกลีเซอรีนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามราคาวัตถุดิบน้ำมันปาล์ม

ส่วนของเอทานอล (E100) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ การลดราคาด้านพลังงานรวมถึงนโยบายลดราคาแก๊สโซฮอล ซึ่งเป็นการเพิ่มอุปสงค์ อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุปทานทรงตัว เนื่องจากไม่มีการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตภายในประเทศ ด้านราคาเอทานอลทรงตัว ตามราคาวัตถุดิบสำหรับการผลิตเอทานอลโดยรวมที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ปี 2566 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 202 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย จำนวน 17,719 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 29 จากการปรับตัวลดลงของราคาขายเมทิลเอสเทอร์และแฟตตี้แอลกอฮอล์ตามราคาวัตถุดิบที่ลดลง แต่บริษัทฯ ได้บันทึกรายการพิเศษ จำนวน 60 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการตีมูลค่ายุติธรรมของหลักประกันเพิ่มขึ้นเป็นผลให้บริษัทฯ ลดการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายจากความเสียหายวัตถุดิบคงคลัง และปรับรายการภาษีเงินได้รอตัดบัญชี

Back to top button