TU โชว์งบ Q4 โกยยอดขาย 3.5 หมื่นล้าน แจกปันผล 0.24 บ. ขึ้น XD 1 มี.ค.นี้
TU โชว์งบไตมาส 4/66 โกยยอดขาย 3.5 หมื่นล้าน หลังธุรกิจ “อาหารแช่แข็ง-อาหารสัตว์เลี้ยง” ฟื้นตัว เตรียมจ่ายปันผล 0.24 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 1 มี.ค.67 เคาะจ่ายปันผลวันที่ 26 เม.ย. 67
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2566 ยอดขาย 35,529 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 4.8% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และมีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติที่ 1,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อนหน้า
ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นจากผลการดำเนินงานปกติแข็งแกร่งถึง 17.8% ซึ่งบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ถึง 2,842 ล้านบาท รวมถึงยังมีระดับหนี้ต่ำ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.78 เท่า สะท้อนถึงการเติบโตที่มั่นคงและรับมือกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกได้อย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ บริษัทยังได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ราคา 0.24 บาทต่อหุ้น พร้อมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 1 มี.ค. 2567 และจ่ายปันผลวันที่ 26 เม.ย. 2567 ส่งผลให้ปี 2566 บริษัทจ่ายเงินปันรวม 0.54 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการปี 2566 มียอดขายอยู่ที่ 136,153 ล้านบาท ลดลง 12.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการขนส่งทั่วโลกที่กลับสู่ภาวะปกติทำให้ลูกค้าไม่มีความจำเป็นต้องกักตุนสินค้า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติ อยู่ที่ 4,499 ล้านบาท ลดลง 37.0% ซึ่งบริษัทยังมีการบันทึกรายการด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดครั้งเดียว ในไตรมาส 4 ที่มูลค่า 18,433 ล้านบาท (527 ล้านดอลลาร์) จากแผนถอนการลงทุนส่วนน้อยในเรด ล็อบสเตอร์
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้อย่างเป็นเอกฉันท์เรื่องการขออนุมัติผ่อนผันหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของไทยยูเนี่ยนในปี 2566 ตามที่บริษัทเสนอขอให้ไม่นับรวมรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามหลักการทางบัญชีจากแผนดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาตัวเลขการหักรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าตามหลักการทางบัญชีแล้วไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด และความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทประกอบกับทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตบริษัท ในระดับ A+
ด้าน นายธีรพงศ์ จันศิริ กล่าวว่าสำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/66 กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง มียอดขายอยู่ที่ 12,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 8.0% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.4 % เป็นผลจากกลยุทธ์การบริหารจัดการขนาดองค์กรที่ประเทศสหรัฐ และการบริหารจัดการระบบสินค้าคงคลังที่ดีขึ้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง มีอัตราเติบโต 22.5% เนื่องจากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าหลัก และระดับสินค้าคงคลังที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงการนำกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มประเภทอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยในไตรมาส 4/66 ซึ่งบริษัทยังมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวก มูลค่าถึง 2,842 ล้านบาทมาจากความสามารถในการทำกำไร (EBITDA) ที่แข็งแกร่ง ประกอบการมีการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ
“โดยปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งความท้าทายจากการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งกดดันตลาดที่ดำเนินธุรกิจอยู่ อีกทั้งมีผลต่อเนื่องไปถึงค่าครองชีพและกำลังซื้อของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมธุรกิจจะยังคงอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก แต่บริษัทก็สามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ในไตรมาสสุดท้ายของปียังสามารถทำกำไรได้ดีในทุกกลุ่มธุรกิจ” นายธีรพงศ์ กล่าวว่า
สำหรับสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็นรายกลุ่มธุรกิจ ประจำปี 2566 ประกอบด้วย กลุ่มอาหารกระป๋อง 47%, ตามมาด้วยกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง 35%, กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง 11% และกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่นๆ 7% และเมื่อพิจารณาสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาค แบ่งเป็น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา 41%, ยุโรป 30%, ไทย 11% และอื่น ๆ 18%
ทั้งนี้ บริษัทยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 10 ติดต่อกันในปี 2566 และยังครองอันดับ 1 ดัชนีอาหารทะเลยั่งยืน Seafood Stewardship Index (SSI) ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านความยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs)
นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศความสำเร็จในการจัดหาเงินทุนที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยเป็นสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan หรือ SLL) มูลค่า 11,485 ล้านบาท ถือเป็นการเริ่มระยะที่ 2 ของโครงการ Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเลของไทยยูเนี่ยน โดยมีเป้าหมายจัดหาเงินทุนที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของการจัดหาเงินทุนระยะยาวภายในปี 2568
อีกทั้ง มุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวจากเป้าหมายปัจจุบันที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งสร้าง “การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ หรือ Healthy Living, Healthy Oceans” โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล ไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน โดยจะเดินหน้าประกาศกลยุทธ์ระดับองค์กรตัวใหม่ (Corporate Strategy 2030) ที่จะครอบคลุมถึงปี 2573 เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมทะเลระดับโลก พร้อมสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ด้วยการขยายการลงทุนที่หลากหลายในอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นมากกว่าอาหารทะเล และเป็นผู้วางรากฐานของโภชนาการแห่งอนาคต เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้คน สัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้
“ทั้งนี้ แม้ว่าปีนี้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทมั่นใจว่าการวางกลยุทธ์องค์กรเพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ที่ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักของไทยยูเนี่ยน อาทิ กลุ่มอาหารกระป๋อง, กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง และกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตพร้อมสร้างผลกำไรและมูลค่าเพิ่ม เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกภาคส่วนได้มากยิ่งขึ้น”นายธีรพงศ์ กล่าว