SCN งบปี 66 กำไร 168 ล้านบาท พ่วงปันผล 0.0124 บ. ขึ้น XD 7 พ.ค.นี้

SCN โชว์รายได้ปี 66 โต 34% กำไรแตะ 168 ล้านบาท รับอานิสงส์ดีมานด์การใช้ก๊าซธรรมชาติ-ราคาน้ำมันพุ่ง พ่วงจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.0124 บาท ขึ้น XD วันที่ 7 พ.ค. 67 แย้มปีนี้จ่อรุกธุรกิจ “EV Charger โซลาร์โฮม” พร้อมทุ่ม 20 ล้านบาท ทำโครงการ “Private PPA” นำร่องพื้นที่หอพัก คอนโดฯ และโรงแรม


ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ ในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 1,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% หรือเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสามารถทำกำไรเติบโตได้สุทธิ 167 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งนับเป็นกำไรสุทธิแบบออร์แกนิค อยู่ที่ 132 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมา 28% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยไม่รวมกำไร one – time ที่เกิดจากขายเงินลงทุนรวมถึงการตัดจำหน่ายโครงการที่เป็น Non-perform ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth หรือการเติบโตจากความแข็งแกร่งขององค์กรจริงๆ

ทั้งนี้ ปัจจัยการเติบโตเกิดจาก 1) การเติบโตของผลการดำเนินงานในหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้อานิสงส์บวกจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น 2) บริษัทเริ่มรับรู้รายได้สัญญาจ้างขนส่งจากการชนะประมูลงานขนส่ง ปตท. ตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป 3) รับรู้รายได้จากงานจ้างเหมาก่อสร้างอาทิ เช่น งานรับเหมาก่อสร้างปั๊มบางจาก และ 4) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน SAP ด้วยผลการดำเนินงานก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเตรียมความพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2567

ดร.ฤทธี กล่าวอีกว่า ภาพรวมความสำเร็จในปี 2566 บริษัทฯ ได้ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจขนส่งก๊าซธรรมชาติ โดยคว้าชัยชนะประมูลงานขนส่ง ปตท. ทำให้ขึ้นแท่นผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติ อันดับ 1 ของประเทศ โดยมีปริมาณขนส่งรวมอยู่ที่ 1 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ทั้งใน 6 พื้นที่ ได้แก่ ลาดหลุมแก้ว, ลำลูกกา, สามโคก (2 เขต), เชียงรากน้อย และกิ่งแก้ว ซึ่งได้เริ่มดำเนินงานและรับรู้รายได้จากสัญญาใหม่นี้ครบทุกพื้นที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ในส่วนของ ธุรกิจ iCNG มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง จากปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้พลิกกลับมามีกำไรเป็นปีแรกนับตั้งแต่ปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ เช่นเดียวกันในส่วนของบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ที่พร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2567 ก็มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โดยมีการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในปีที่ผ่านมา เพิ่มอีก 6 โครงการ ทำให้ปัจจุบัน COD ไปแล้วกว่า 29 โครงการ ซึ่งรวมกำลังผลิตในมือตอนนี้กว่า 23 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ ส่งผลให้มีกำไรเติบโตกว่า 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) ยังเติบโตอย่างมีนัยะสำคัญเช่นกัน โดยปีที่แล้ว บริษัทฯ ได้ชนะการประมูลงานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ รวมถึงรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับก๊าซ (Non-Gas) โดยมีมูลค่าสัญญารวมกว่า 222 ล้านบาท และบริษัทฯ เล็งเห็นถึงการเติบโตของการงาน EPC กลุ่ม Non-Gas นี้ในอนาคตเป็นอย่างมาก

โดยนับว่าตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาจนมาถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีการเทิร์นอะราวด์ที่ชัดเจน และเติบโตขึ้นปีละเกือบเท่าตัว สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตอย่างมีนัยะสำคัญในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยภาพรวมการดำเนินงานของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโต โดยมีรายได้อยู่ที่ 990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) ในส่วนธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และซ่อมบำรุงรถโดยสารปรับอากาศ มีรายได้อยู่ที่ 156 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 173 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 233% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) นอกจากนี้สำหรับธุรกิจขนส่งและอื่นๆ มีรายได้อยู่ที่ 189 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)

อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการแบ่งปันความสำเร็จให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีการอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2566 ในอัตรา 0.0124 บาท/หุ้น คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 15 ล้านบาท โดยจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 8 พ.ค. 2567 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 พร้อมกำหนดเตรียมจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567

สำหรับการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมรุกธุรกิจ EV Charger โซลาร์โฮม โดยก่อนหน้านี้ได้มีการศึกษาการขยายธุรกิจพลังงานเพิ่มเติม โดยวางงบลงทุน 20 ล้านบาท ทำโครงการ “Private PPA” อีวี ชาร์จเจอร์ นำร่องพื้นที่หอพัก คอนโดมิเนียม และโรงแรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเข้าเจรจา โดยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้มากในอนาคต และให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ที่ราว 10% นอกจากนี้ยังมีการเข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติรูปแบบใหม่ในอนาคต คือการผลิตไฮโดรเจนหรือบลูไฮโดรเจน เพื่อเป็นเชื้อเพลิงและเป็นก๊าซพิเศษให้แก่บางอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจให้ SCN ได้ในอนาคต ดร. ฤทธี กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button