PANEL เทรดวันแรก! ลุ้นวิ่งเป้า 5.20 บาท โบรกชี้กำไร 3 ปี โตเฉลี่ย 48%

PANEL ลงสนามเทรดวันแรก! ลุ้นวิ่งเป้า 5.20 บาท ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินกำไรปี 66-68 เติบโตเฉลี่ย 48% ตามทิศทางรายได้คาดการณ์เพิ่มขึ้น จากกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายของผลิตภัณฑ์สถานพยาบาล ด้าน 4 โบรกให้ราคาเป้าหมาย 4-5.20 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (22 กุมภาพันธ์) หลักทรัพย์ บริษัท เพเนเล่ส์มาติก โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PANEL ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

โดย PANEL มีทุนชำระหลังเสนอขาย 95 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 140 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น โดยเป็นการเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ทั้งจำนวน เมื่อวันที่ 14-16 กุมภาพันธ์ 2567 ในราคาหุ้นละ 3.68 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO 184 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO  699.20 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E Ratio) เท่ากับ 29.72 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566) เท่ากับ 23.53  ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.12 บาท โดยมี บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

สำหรับ PANEL เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผนังบานเลื่อนกันเสียงเคลื่อนที่ ประตูกระจก ระบบทางเข้าออกอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าออกแบบตกแต่งภายในสำหรับอาคารทั่วไป ภายใต้แบรนด์ PANELES นอกจากนี้ ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าใช้งานในสถานพยาบาลแบรนด์ MANUSA จากประเทศสเปน เช่น ประตูอัตโนมัติสุญญากาศที่ใช้สำหรับประตูห้องผ่าตัด ประตูห้องเอกซ์เรย์ บริษัทมีโรงงานตั้งอยู่ที่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี รองรับการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งได้แก่ ผู้รับเหมา เจ้าของสถานที่และสถาปนิกที่เชี่ยวชาญด้านสถานพยาบาล โรงแรม บริษัทและห้างร้านต่างๆ

โดยในงวด 9 เดือนแรกปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสถาปัตยกรรมภายใน : กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสถานพยาบาล : รายได้บริการและอื่นๆ ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 : 30 : 10 ตามลำดับ

นางจูเลีย ดับเบิ้ลยู เพ็ชญไพศิษฎ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PANEL เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผนังกันเสียงเคลื่อนที่ ระบบประตูห้องผ่าตัดอัตโนมัติ และระบบทางเข้าออกอัจฉริยะ โดยตลอดระยะเวลากว่า 34 ปี บริษัทมุ่งมั่นให้บริการอย่างครบวงจรเพื่อเป็น One Stop Service เช่น การออกแบบ การจัดหา การติดตั้ง และการบริการหลังการขาย เป็นต้น สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำไปลงทุนสร้างโรงงานใหม่และจัดซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท

โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ ครอบครัวนางจูเลีย ดับเบิ้ลยู เพ็ชญไพศิษฎ์ ถือหุ้นร้อยละ 40.53 และนายอังสุรัสมิ์ อารีกุล ถือหุ้นร้อยละ 33.16 บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมาย

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไร PANEL ของปี 2566 เพิ่มขึ้น 8% เป็น 17 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมขายโรงงานใหม่และจดทะเบียนเข้าตลาด ก่อนกลับมาเติบโตโดดเด่นในปี 2567 ประมาณ 201% เป็น 52 ล้านบาท หนุนโดย 1)การเพิ่มกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่มากพอที่จะตอบสนองอุปสงค์คงค้างในปีที่ผ่านมา 2) ยอดขายสินค้าจากกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสถานพยาบาล ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 40-45% เทียบกับกลุ่มตอบแต่งภายในที่มีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 35-40% จะมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น และ 3)ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายมีแนวโน้มลดลงจาก 21.0% เป็น 12.5%

ทั้งนี้ กำหนดราคาเหมาะสมเท่ากับ 5.20 บาทต่อหุ้น โดยเลือกประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ PANEL ด้วยวิธี PER ได้ราคาเหมาะสมที่ 5.20 บาทต่อหุ้น อิงค่า PER ปี 2567 อยู่ที่ 19 เท่า สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด คาดการณ์กำไรงวดปี 2566 อยู่ที่ราว 18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2567 อยู่ที่ราว 47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่คาดการณ์รายได้ปี 66 อยู่ที่ราว 132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2567 คาดการณ์รายได้อยู่ราว 245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากแนวโน้มกลุ่มงานสถานพยาบาลที่คาดจะเติบโตดีจากโครงการที่มีโอกาสได้รับภายในปี 2567 กว่า 160 ล้านบาท

สอดคล้องกับข้อมูลของ ICONS คาดการณ์งบลงทุนของโครงการโรงพยาบาลปี 2567 ราว 1.63 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเลื่อนการลงทุนจากปี 2566 ที่มีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่

ส่วนกลุ่มงานสถาปัตยกรรมภายในและงานบริการที่เกี่ยวเนื่องคาดจะเติบโตดีเช่นกันจากทั้งโครงการโรงแรม โรงงาน และอาคารทั่วไป ส่วนสมมติฐาน GPM อนุรักษ์นิยมคาดที่ราว 38% และ 38.5% ตามลำดับ ใกล้เคียงกับช่วง 2 ปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 38.2% ส่วนค่าใช้จ่าย SG&A คาดที่ราว 21% ก่อนจะลดลงสู่ 14.5% ในปี 2567 จากแนวโน้มรายได้ที่เร่งตัวขึ้น โดยฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 4.50 บาทต่อหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ว่าแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2567 เติบโตก้าวกระโดด คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 ขยายตัว 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องรายได้

ขณะที่อัตรากำไรหดตัวจากการว่าจ้างซัพพลายเออร์รับช่วงผลิตสินค้า ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นด้านพนักงานและการเตรียมตัวจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดการณ์กำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดด 139% ในปี 2567 บนประมาณการรายได้รวมเติบโต 75% ปัจจัยหนุนจากส่วนผสมยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 63% (2566: 43%) ของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสถานพยาบาลซึ่งมีมาร์จิ้นสูง และความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A คาดผลักดัน Net Profit Margin สูงขึ้นเป็น 18.5% ในปี 2567 (2566: 13.6%) อีกทั้งส่งผลให้ ROE ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 21.2% ในปี 2567 (2566: 18.1%) และ ROA ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 16.8% ในปี 2567 (2566: 12.2%) ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 4.64 บาทต่อหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กําไรปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ย 48% (CAGR) โดยคาดการณ์กําไรปี 2566 อยู่ที่ 18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปี 2567-2568 คาดเร่งตัวขึ้นเป็น 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามทิศทางรายได้คาดการณ์เพิ่มขึ้น 41% CAGR จากกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายของผลิตภัณฑ์สถานพยาบาล ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการสูงตามการขยายการลงทุนของโรงพยาบาล

รวมถึงการเริ่มดําเนินการโรงงานใหม่ในไตรมาส 3/2567 ซึ่งกําลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า 2 เท่า ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรับงาน อีกทั้ง อัตรากําไรขั้นต้นคาดปรับขึ้นจากปี 2566 จากยอดขายหลักมาจากผลิตภัณฑ์สถานพยาบาลที่มีมาร์จิ้นดีกว่าสถาปัตยกรรมภายใน โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อยู่ที่ 4 บาท

Back to top button