TPLAS โชว์กำไรปี 66 แตะ 13 ล้านบาท ปันผล 0.04 บ. ขึ้น XD 17 เม.ย.นี้
TPLAS โชว์กำไรปี 66 แตะ 13 ล้านบาท พ่วงปันผล 0.04 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD 17 เม.ย.นี้ ตั้งเป้ารายได้ปี 67 เติบโต 10% พร้อมเดินเกมรุกตลาด “Food Packaging” รองรับดีมานด์ผู้บริโภคยุคใหม่ เตรียมบุกตลาด CLMV เพิ่มฐานรายได้ ควบคู่การแตกไลน์ธุรกิจใหม่
นายอภิรัตน์ ธีระรุจินนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) จำกัด (มหาชน) หรือ TPLAS เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 517.13 ล้านบาท และมีรายได้อื่น 3.22 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 12.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 (มกราคม-ธันวาคม 2566) ในอัตรา 0.04 บาท/หุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 17 เมษายน 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567
อย่างไรก็ดีสำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ให้เห็นมากขึ้น หลังรัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและการบริโภค ขณะที่ผลกระทบจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาเม็ดพลาสติก และการแข่งขันด้านราคาในตลาด มีแนวโน้มลดน้อยลง ทำให้เป็นโอกาสในการขยายตลาดใหม่ เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ ผลักดันผลการดำเนินงานในปีนี้ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
นายอภิรัตน์ กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% เทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้เราจะเข้ารุกตลาดสินค้าในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร (Food Packaging) มากขึ้น แต่ยังคงเป็นพลาสติกและกระดาษ เจาะกลุ่มลูกค้าที่เปิดร้านออนไลน์-เดลิเวอรี่ที่ไม่มีหน้าร้าน สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
นอกจากนี้ในส่วนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มยอดขายสินค้าภายในประเทศ ผ่านการทำแคมเปญการตลาด และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น เพิ่มกลุ่มสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าร้านอาหารมากขึ้น ขณะเดียวกันยังได้มีการขยายทีมมาร์เก็ตติ้ง และทีมขาย เพื่อรองรับการทำการตลาด และกระตุ้นยอดขายทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและเตรียมความพร้อมในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
“ในปี 2567 คาดว่าจะมีความผันผวนน้อยลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งจากเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบและราคาน้ำมันที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่วนเรื่องของการปรับขึ้นค่าแรงงาน กระทบกับบริษัทฯเล็กน้อย เนื่องจากมีการปรับขึ้นค่าแรงสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดอยู่แล้ว อีกทั้ง บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการศึกษาการแตกไลน์ธุรกิจ เพื่อสร้าง New S-Curve สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ” นายอภิรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย