ผู้ว่าธปท. ชี้ “ลดดอกเบี้ย” เร็วเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเงิน ย้ำเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าธปท. ย้ำไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามคำขอนายก “เศรษฐา ทวีสิน” หั่นดอกเบี้ยก่อนเวลาอันควร เสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน พร้อมชี้ว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินไม่ได้ทำให้การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวหรืออุปสงค์การส่งออกดีขึ้น
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมภาษณ์พิเศษกับ Nikkei Asia ว่า ธปท.ไม่ได้ดันทุรัง (Not Dogmatic) ว่าจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ แต่เรียกร้องให้พิจารณาตัวเลขล่าสุดที่แสดงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบ
ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตเพียง 1.9% ในปี 2566 ซึ่งขาดการคาดการณ์ของตลาด เนื่องจากอุปสรรคทางการเมืองทำให้งบประมาณรัฐบาลปี 2567 ล่าช้า
“แม้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ก็ไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวจีนจับจ่ายมากขึ้น หรือทำให้บริษัทจีนนำเข้าปิโตรเคมีจากไทยมากขึ้น หรือทำให้รัฐบาลต้องกระจายงบประมาณเร็วขึ้น และนั่นคือ 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า”
ขณะที่แรงกดดันทางการเมืองต่อ ธปท.เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบติดต่อกัน 4 เดือน ส่วนใหญ่เกิดจากการอุดหนุนพลังงานของรัฐบาล ควบคู่ไปกับรายรับจากการท่องเที่ยวที่อ่อนแอและการส่งออกที่หดตัว โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% นับเป็นปฏิเสธเสียงเรียกร้องของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
โดยนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสินได้เรียกร้องอีกครั้งเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 หลังจากมีการรายงานตัวเลข GDP ที่อ่อนแอ ซึ่งเรียกร้องให้ ธปท.จัดการประชุมฉุกเฉิน ก่อนการประชุมปกติครั้งถัดไปที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2567
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวถึงความสัมพันธ์กับนายกรัฐมนตรีที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า “เป็นมืออาชีพ” และ “จริงใจ” แต่ปฏิเสธว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ใน “วิกฤต” หลังจากที่นายกรัฐมนตรีชี้ให้เห็นถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ที่สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในวิกฤต ซึ่งนี่จะเป็นผลดีต่อนโยบายดิจิทัลวอลเลต ที่จะทำให้กระบวนการทางนิติบัญญัติสามารถอนุมัติการเดินหน้านโยบายได้ง่ายขึ้น
สำนักข่าว Nikkei ระบุว่าทัศนคติของรัฐบาลต่อธนาคารกลางทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่ ดร.เศรษฐพุฒิ ไม่มีสิทธิ์ได้รับการต่ออายุหลังจากหมดวาระในปี 2568 เนื่องจากเกษียณอายุในวัย 60 ปี
“มีความตึงเครียดอยู่ระหว่างรัฐบาลและธนาคารกลาง แต่เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งปกติแล้วเกิดขึ้นเสมอ เพราะเราสวมหมวกที่แตกต่างกัน ไม่มีเหตุผลใดที่ทั้งสองจะทำงานร่วมกันไม่ได้ เพียงแค่ต้องเข้าใจว่าเรามีบทบาทที่แตกต่างกันในการปฏิบัติตามกฎหมาย”
ก่อนหน้านี้ ธปท.เผชิญกับเสียงเรียกร้องในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยชี้ให้เห็นถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่เบื้องหลังแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกโดยเริ่มในปี 2565 “เราบอกว่าไม่ นั่นไม่เหมาะสมสำหรับเรา เนื่องจากการฟื้นตัวของเราช้ากว่าประเทศอื่นๆ”
ทั้งนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกภายนอก 4 คน และจากธนาคารแห่งประเทศไทยเพียง 3 คน โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 สมาชิก 2 คน ลงมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่าสมาชิกทั้ง 2 คน กังวลถึงอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่มีความรุนแรงมาก ดังนั้นจึงอาจสมเหตุสมผลที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็น “ความเป็นกลางในรูปแบบใหม่”
นอกเหนือจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยืดเยื้อ เช่น จำนวนประชากรและผลิตภาพแรงงานที่ลดลง คณะกรรมการยังเห็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความกังวลจากการพึ่งพาการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีแรงงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของแรงงานไทยทั้งหมด และคิดเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับในจีดีพี
“สิ่งที่เราได้เห็นคือการทดแทนการนำเข้ามากขึ้นในจีน ซึ่งนั่นสะท้อนให้เห็นถึงไม่เพียงแต่ความอ่อนแอของวัฏจักรในเศรษฐกิจจีน แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จีนผลิตด้วยตัวเองมากขึ้นและไม่นำเข้า”
ประกอบกับการเข้าพักระยะสั้นและการใช้จ่ายที่ลดลงของนักท่องเที่ยวก็ทำให้เกิดความกังวลเช่นกัน ดร.เศรษฐพุฒิ ตั้งข้อสงสัยว่าประเทศไทยอาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 40 ล้านคนต่อปี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปี 2562 ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19
“สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลจากโควิด และเสี่ยงที่จะสรุปว่าทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมด้วยความล่าช้า ซึ่งต้องทำอะไรบางอย่างหากต้องการให้ได้ตัวเลขนั้น”
ด้านนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธนาคารกลาง แต่จะพยายามโน้มน้าวธนาคารต่อไปให้เห็นใจผู้ที่กำลังทุกข์ทรมาน
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ประชาชนกำลังประสบกับความเจ็บปวดอย่างมากเพราะรายได้ไม่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างที่ต้องการ รู้สึกว่าวิธีที่ดีกว่าในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นคือการใช้มาตรการที่ตรงเป้าหมาย และไม่เหมาะสมที่จะต้องมาแจกอุปกรณ์ช่วยชีวิตให้กับทุกคน
ดร.เศรษฐพุฒิ รับทราบถึงผลกระทบของระบอบการปกครองที่อัตราดอกเบี้ยสูงต่อผู้กู้ยืม แต่กล่าวว่าการลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเวลาอันควรอาจเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน เนื่องจากหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ที่ระดับมากกว่า 90% ของ GDP
พร้อมกล่าวว่า “ผมคิดว่าหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่ส่วนเล็กๆ เลย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำมากมาเป็นเวลานาน กระตุ้นให้คนกู้ยืม ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ผมคิดว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด ในการพยายามก่อหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน”