TRUE กวาดรายได้ Q4 ทะลุ 4 หมื่นล้าน หนุน “อีบิทด้า” โต 5%
TRUE รายงบไตรมาส 4/66 กวาดรายได้บริการและการขาย โต 2% ทะลุ 4 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากธุกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่-ออนไลน์ ดัน EBITDA เติบโต 2.25 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% ต่อเนื่อง 4 ไตรมาส พร้อมตั้งเป้าปี 67 EBITDA โต 9-11%
นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จเกินคาดการณ์ ด้วยจุดแข็งที่ผสมผสานกัน ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น โดยยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและดำเนินการตามแผนบูรณาการและเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ทำให้สามารถบรรลุเกินเป้าหมายในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในปีนี้ โดยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในปีที่ผ่านมาในการนำองค์กรใหม่สู่การสร้างวัฒนธรรมและแนวทางการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งผสมผสานจุดแข็งในการดำเนินงานในธุรกิจ ทำให้เราเชื่อว่าทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมแล้วสำหรับการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรในปี 2567 อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของการใช้งานข้อมูล และไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น
สำหรับในไตรมาสที่ 4 บริษัทประสบความสำเร็จจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมสุทธิ (Net Synergies) คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านบาท จากการดำเนินการตามแผนงานสำคัญอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลดีต่อ EBITDA และงบลงทุน (CAPEX) อีกทั้งการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยได้เกินกว่าเป้าหมาย จึงส่งผลดีทั้งการประหยัดพลังงานและค่าเช่าพื้นที่ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบลงทุน (CAPEX) การรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอการให้บริการที่รวมเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทั้งในแบบเคลื่อนที่และประจำที่ (FMC) ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ด้วยยอดผู้ใช้งานลูกค้าในกลุ่มนี้ที่เติบโต 16%
“นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยมี ARPU เพิ่มขึ้น 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นที่ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยใช้จุดแข็งในการดำเนินการทางการตลาดแบบผสมผสานของเรา ดำเนินการตามแผนการบูรณาการ และบรรลุผลสำเร็จในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเพื่อส่งมอบคุณค่าสูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา” นายมนัสส์ กล่าว
ด้วยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า พร้อมทั้งนำเสนอมูลค่าเพิ่มเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้า แบรนด์ดีแทคและทรูยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างด้าว โดยมียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 0.5 ล้านเลขหมายจากไตรมาสก่อน คิดเป็น 1% ทำให้มียอดรวมเป็น 51.9 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นปี 2566 ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยครอบคลุมประชากร 90% พร้อมด้วยฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่มากสุดถึง 10.5 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสที่ผ่านมา
ด้านนายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) TRUE กล่าวว่า บริษัทรายงานผลประกอบการที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตขึ้นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ในปี 2566 ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ รายได้รวมสำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 4.4% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการให้บริการและจากการขายที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการให้บริการไม่รวม IC (ตามการจัดประเภทรายการใหม่) สำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 2.0% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลมาจากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 2.3% และรายได้ธุรกิจออนไลน์เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา
โดยรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของการกลับมาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว พร้อมกับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าเดิม ส่วนการปรับขึ้นของรายได้ธุรกิจออนไลน์ได้รับแรงหนุนจากการเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับข้อเสนอที่น่าสนใจและการตอบสนองที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อการขายพ่วงของผลิตภัณฑ์และบริการที่เกิดภายหลังการควบรวมกิจการ ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก (Pay TV) มีรายได้จากการให้บริการแบบบอกรับสมาชิก คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 28.7% จากไตรมาสก่อนหน้า ด้วยการเปิดตัว iPhone ใหม่ในไตรมาสที่ 3/2566
สำหรับปี 2566 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 11.2% จาก จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในไตรมาสที่ 4/2566 เพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากต้นทุนขายที่สูงขึ้น 24.5% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายได้จากการขายที่สูงขึ้น ทั้งนี้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นของการดำเนินงานเป็นอย่างดีจากการเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้างและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม
ส่วนกำไร EBITDA ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาสที่ 4/2566 EBITDA เพิ่มขึ้น 5.0% นับเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่มีการเติบโต และเพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาทนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ อนึ่ง การปรับเพิ่มของ EBITDA ในไตรมาสที่ 4/2566 จำนวน 1 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้มาจากเติบโตของรายได้ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดย 50% ของการเติบโตมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม ทั้งนี้ อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 55.4 % สำหรับใตรมาสที่ 4/2566
ขณะที่ในไตรมาสที่ 4/2566 บริษัทบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย และค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ จำนวน 10,899 ล้านบาท ส่งผลให้มีการขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีสำหรับไตรมาส 4/2566 จำนวน 11,279 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีจะอยู่ที่ 379 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,219 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ส่วนค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาสที่ 4/2566 อยู่ที่ 12,631 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม จำนวน 5.8 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ซึ่งถูกชดเชยด้วยผลประโยชน์จากการควบรวม
“คาดการณ์ในปี 2567 บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จะมีการเติบโต 3-4% ส่วน EBITDA จะมีการเติบโต 9-11% และค่าใช้จ่ายลงทุนรวมงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถทำกำไรภายหลังการปรับปรุง (Normalized) ได้ในปี 2567” นายนกุล กล่าวทิ้งท้าย