สัญญาณดี! “ส่งออกไทย” ขยายตัวสูงรอบ 19 เดือน “สินค้าเกษตร” โต 14%

SCB EIC เผยส่งออกไทยขยายตัว 10% สูงสุดในรอบ 19 เดือน “สินค้าเกษตร” กลับมาขยายตัว 14% จากหดตัว 8.3% ในเดือนก่อน


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)  เปิดเผยว่า การส่งออกไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นบ้าง ขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 เดือน มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือน ม.ค.67 อยู่ที่ 22,649.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่อง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 19 เดือน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมูลค่าการส่งออกทองคำที่ขยายตัวมากถึง 194.2% จากปีก่อน และปัจจัยฐาน หากหักปัจจัยพิเศษนี้แล้ว การส่งออกไทยไม่รวมทองคำจะยังขยายตัวได้ 8.5% จากปีก่อน และค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน -0.3%  ถือว่าสัญญาณการฟื้นตัวของการส่งออกไทยเริ่มชัดเจนขึ้นบ้าง แม้จะมีอุปสรรคในการขนส่งสินค้าทางเรือจากเหตุสงครามฯ

ขณะที่ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าดีขึ้นทุกกลุ่ม นำโดย 1) สินค้าเกษตรกลับมาขยายตัว 14% จากหดตัว -8.3% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง และยางพารา ขณะที่มันสำปะหลังเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว 2) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 10.3% เร่งขึ้นจาก 5% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล ขณะที่รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว

3) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 3.8% ต่อเนื่องจาก 3.6% ในเดือนก่อน โดยผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องดื่มเป็นสินค้าหลักที่ขยายตัวดี ขณะที่น้ำตาลทรายเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว และ 4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงขยายตัว 7.1% ชะลอลงจาก 32.4% ในเดือนก่อน

ส่วนภาพรวมการส่งออกขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ โดย 1) ตลาดยุโรป ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน 3.6% เทียบกับปีก่อน เทียบกับหดตัว -8.4% จากปีก่อน ในเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้าในตลาดยุโรปขยายตัวได้หลายกลุ่มสินค้าท่ามกลางข้อจำกัดในการขนส่งเอเชีย-ยุโรปผ่านทะเลแดง การส่งออกสินค้าสำคัญ 15 ลำดับแรกของตลาดนี้ขยายตัวถึง 10 รายการ โดยเฉพาะเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (85.4%) และยางพารา (55.8%)

2) ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 13.7% เร่งขึ้นมากจาก 0.3% ในเดือนก่อน การส่งออกสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวได้อย่างทั่วถึงเช่นกัน โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (62%) และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (50.4%)

3) ตลาดฮ่องกง ขยายตัวแข็งแกร่ง 72% เร่งขึ้นจาก 35% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ และเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบขยายตัว 314.2% และ 24,775.9% ตามลำดับ 4) ตลาดจีน ขยายตัวต่อเนื่อง 2.1% ใกล้เคียงกับ 2% ในเดือนก่อน

 

ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน ม.ค. 67 อยู่ที่ 25.407.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับมาขยายตัว 2.6% จากปีก่อน โดยการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวแข็งแกร่งราว 10% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัวครั้งแรกในรอบ 13 เดือนที่ -16.7% การนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงหดตัวรุนแรงขึ้นเป็น -15.7% และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคหดตัวเล็กน้อย -0.1% ดุลการค้าระบบศุลกากรในเดือนนี้จึงพลิกกลับมาขาดดุล -2,757.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับเกินดุล 972.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือน ธ.ค. 2023

SCB EIC มองมูลค่าการส่งออกไทยจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในปี 2024 จากแรงสนับสนุนหลายด้าน ได้แก่ 1) ปริมาณการค้าโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ที่แม้จะชะลอลงบ้างแต่จะยังขยายตัวได้ใกล้เคียงปีก่อน 2) ภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปี 67 สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกในเดือน ม.ค. ที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือน

อีกทั้ง ข้อมูล PMI ภาคการผลิตขั้นต้นในเดือน ก.พ. ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทยยังขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 17 เดือน แม้ภาคการผลิตในหลายประเทศจะยังซบเซาต่อเนื่อง 3) ราคาสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง เช่น ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ

ทั้งนี้อัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าในรูป % จากปีก่อน จะมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่เหลือของปีตามปัจจัยฐาน โดยเฉพาะในเดือน มี.ค. ที่อาจติดลบสูง เนื่องจากไทยส่งออกทองคำในเดือน มี.ค. 66 มากถึง 1,568.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงสำคัญหลายประการ เช่น ปัญหาการขนส่งในทะเลแดงและคลองปานามา การแบ่งขั้วของห่วงโซ่อุปทานโลก การนำภาษีนำเข้าและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกีดกันทางการค้ามาใช้มากขึ้น และการฟื้นตัวของความต้องการนำเข้าสินค้าของประเทศผู้นำเข้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

สำหรับเหตุการณ์โจมตีเรือขนส่งสินค้าของกบฏฮูตีในบริเวณทะเลแดง (คลองสุเอซ) และภัยแล้งในคลองปานามา ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าทางเรือที่สำคัญของโลกส่งผลให้ค่าระวางเรือและระยะเวลาขนส่งสินค้าทางเรือระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา

โดยค่าระวางเรือในการขนส่งระหว่างไทยไปยังยุโรป เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็น 4,900 ดอลลาร์สหรัฐ ณ 17 ก.พ. 67 (เพิ่มเป็น 4 เท่าของเดือน พ.ย. 66) ขณะที่ค่าระวางเรือในการขนส่งระหว่างไทยไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นถึง 7,200 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น 3 เท่าของเดือน พ.ย. 66) สร้างความกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปในช่วงต้นปี 67โดยเฉพาะการส่งออกไปยุโรปเนื่องจากต้องพึ่งพาการเดินเรือผ่านคลองสุเอซ

ล่าสุดความกังวลในสถานการณ์ดังกล่าวปรับลดลง สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกของไทยในเดือน ม 2024 ที่ออกมาไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากนักจากเหตุการณ์ทั้งสอง โดยยังสามารถขยายตัวได้มากถึง 10% จากปีก่อน แม้จะค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อนแบบปรับฤดูกาลที่ -0.3%

อีกทั้ง การส่งออกไปตลาดยุโรปสามารถขยายตัวได้ชัดเจน 4.8% หรือ 2.9% นอกจากนี้ ค่าระวางเรือยังเริ่มปรับลดลงจากจุดสูงสุดในช่วงก่อนเหลือ 3,900 และ 6,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง 3 และ 2.5 เท่าของเดือน พ.ย.66) ในเส้นทางระหว่างไทย-ยุโรปและไทย-สหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี SCB EIC ยังจับตาประเด็นดังกล่าวนี้ เนื่องจากหากปัญหาลุกลามเป็นวงกว้างและยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยเพิ่มเติมได้

ทั้งนี้ SCB EIC อยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์และประมาณการมูลค่าการส่งออกสินค้า (ระบบดุลการชำระเงิน) ของไทยปี 67 ใหม่ และจะเผยแพร่บทวิเคราะห์ดังกล่าวในเดือน มี.ค. นี้

Back to top button