OR กางแผนปี 67 อัดงบ 2.3 หมื่นล้าน ขยายร้านค้า-ปั๊มอีวี เล็งปิดดีลธุรกิจอาหาร
OR ตั้งเป้าปี 67 ยอดขายน้ำมันโต 3-4% ตามเศรษฐกิจฟื้นตัว วางงบลงทุน 2.3 หมื่นล้านบาท ปรับโฉม 3 ธุรกิจหลัก กางแผนขยายร้านสะดวกซัก “Otteri” เป็น 1.6 พันสาขา พ่วงเพิ่มสาขาปั๊ม EVเป็น 550 สาขา เล็งปิดดีลธุรกิจอาหารเพิ่ม
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ว่าผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,094.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,370.40 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น และมี Net Income Margin ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน
ขณะที่บริษัทมีรายได้รวม 769,224 ล้านบาท ลดลงประมาณ 2 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบปี 66 เฉลี่ยอยู่ที่ 82.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2566 ขยายตัว 1.9% ลดลงจากช่วงเดียวของปีก่อน และปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน ถึงแม้บริษัทมีปริมาณการขายในกลุ่ม Mobility เพิ่มขึ้น 3% และปริมาณขายในธุรกิจ Global เพิ่มขึ้น 13% รวมถึงกลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 6.1% ตามการขยายสาขาร้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) และร้านสะดวกซื้อ (CVS)
ส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2566 อยู่ที่ 21,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 598 ล้านบาท หรือ 2.9% ด้วยแรงสนับสนุนจากธุรกิจ Mobility 68% มาจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ธุรกิจไลฟ์สไตล์ 27% จากกำไรขั้นต้นของธุรกิจ F&B ที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจ Global 7% รวมถึงภาพรวมของการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
สำหรับสิ้นปี 2566 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมัน (PTT Stations) ทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวน 2,652 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศจำนวน 2,253 แห่ง และต่างประเทศจำนวน 399 แห่ง ส่วนสถานีบริการ EV (EV Stations Pluz) มีจำนวน 859 แห่ง หรือคิดเป็น 1,618 DC Connectors ส่วนสถานีบริการ EV (EV Stations Pluz) มีจำนวน 859 แห่ง หรือคิดเป็น 1,618 DC Connectors ซึ่งติดตั้งครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ
ขณะที่ร้าน Cafe Amazon รวมทั้งในและต่างประเทศจำนวน 4,552 สาขา แบ่งออกเป็นในไทยจำนวน 4,159 สาขา และต่างประเทศจำนวน 393 สาขา ขณะที่ยอดขายแก้วรวม (Cup Sold) อยู่ที่ 400 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 19 ล้านแก้วจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้านสะดวกซื้อ (CVS) รวมจำนวน 2,317 แห่ง แบ่งออกเป็นในไทยจำนวน 2,227 แห่ง และในต่างประเทศจำนวน 90 แห่ง
“ขณะที่ค่าสวนแบ่งการตลาดของ OR อยู่ที่ 42.2% ลดลง 1% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้กรอบของความยั่งยืน โดยได้รับได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow JonesSustainability Indices หรือ DJSI) ด้วยคะแนนสูงสุดอันดับ 1 ของโลก และได้รับการจัดอันดับการประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ที่ระดับสูงสุด “AAA” ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร โดยติดอันดับรายชื่อของกลุ่มบริษัทที่มีหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2” นางสาววิไลวรรณ กล่าว
นางสาววิไลวรรณ กล่าวอีกว่า ในส่วนของกรอบการดำเนินงานของบริษัท (Outlook Business) มี 3 ธุรกิจที่เป็นปัจจัยสำคัญ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ธุรกิจ mobility ณ สิ้นปี 2566 บริษัทรายได้รวมอยู่ที่ 71,7038 ล้านบาท ลดลง 2.6% ตามราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง แม้ว่าภาพรวมปริมาณจำหน่ายปรับเพิ่มขึ้น 796 ล้านลิตร หรือเติบโตขึ้น 3.0% จากงวดเดียวของปีก่อน ประกอบมีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้น 1,496 ล้านลิตร จากน้ำมันอากาศยานเป็นหลักจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายตลาดที่เพิ่มขึ้นดีเซลปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ EBITDA ปี 2566 ในกลุ่มธุรกิจนี้อยู่ที่ 14,436 ล้านบาท เพิ่ม 3.8% หรือ 525 ล้านบาทเป็นผลมาจากภาพรวมกำไรเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้น โดยมีการขยายสถานีบริการเพิ่มจำนวน 95 แห่ง ส่วนการติดตั้ง EV Plus station ติดตั้งสะสมจำนวน 859 แห่ง สูงกว่าเป้าหมายปีก่อนหน้าที่จะติดตั้งเพิ่มขึ้นได้เพียง 500 แห่ง
ธุรกิจไลฟ์สไตล์ ณ สิ้นปี 2566 รายได้รวมจากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 22,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 1,283 ล้านบาท หรือ 6.1% จากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้น และการขยายสาขาร้านอาหาร ช่วยผลักดัน EBIRDA ปี 2566 ของกลุ่มธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น 25.4% ตามกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ F&B แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการจ้างพนักงาน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
โดยสิ้นสุดปี 2566 บริษัทมีสาขาของคาเฟ่อะเมซอน (Café Amazon) รวมอยู่ที่ 4,181 ร้าน ในส่วนยอดขายแก้ว (Cup sold)รวมอยู่ที่ 371 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งมีการขยายร้าน F&B ในไตรมาส 4/2566 เพิ่มอีก 2 แห่ง แต่ปิดไปทั้งสิ้น 10 แห่ง ส่วนธุรกิจค้าปลีก (CVS)รวมทั้งปีมีทั้งสิ้น 255 ร้าน
ธุรกิจ Global ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 49,240 ล้านบาท ลดลง 5.6% หรือ 2,914 ล้านบาท สาเหตุจากลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลง แม้ว่าจะมีปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นทุกประเทศรวม 199 ล้านลิตร จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวEBITDA อยู่ที่ระดับ 2.8% เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านนางสาวปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ OR กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายน้ำมันปี 2567 เติบโต 3-4% จากงวดเดียวของปีก่อนอยู่ที่ 27,642 ล้านลิตร เป็นไปตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 2.2-3.2% ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ก็จะเป็นส่วนที่เข้ามาเสริมการเติบโตของวอลุ่มการขายน้ำมัน
รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2567 ที่ประมาณอยู่ที่ 35 ล้านคน จะส่งผลดีต่อความต้องการน้ำมันอากาศยานของบริษัท ซึ่งมีการเติบโตใกล้เคียงกับก่อนโควิด รวมถึงอำนาจการใช้จ่ายของคนไทยเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อธุรกิจ Lifestyle และร้านค้าปลีกอย่างไรก็ตาม บริษัทยังต้องเผชิญความท้าทายในปี 2567 เช่น เงินเฟ้อยังคงสูงและนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดของสหรัฐ และปัญหาทางสงครามและความตึงเครียดแถบตะวันออกกลางซึ่งจะมีผลต่อน้ำมันและราคาน้ำมัน โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 78-81 เหรียญต่อบาร์เรล บนอัตราแลกเปลี่ยนที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์
ด้านงบลงทุนปีนี้ ยังคงไว้ที่ 23,186.4 ล้านบาท ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจ Lifestyle 10,144.4 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Mobility 8,823.6 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Innovation & New Business 2,126.2 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจ Global 2,091.2 ล้านบาท และแบ่งลงทุน Innovation and new business อีกจำนวน 2,100 ล้านบาท
ส่วนแผนการขยายธุรกิจ บริษัทเตรียมขยายสาขากิจการร้านสะดวกซักภายใต้แบรนด์ “Otteri Wash & Dry” เพิ่มอีก 340 สาขา ให้เป็น 1,600 สาขา รวมถึงขยายสถานีบริการ EV (EV Stations Pluz) เพิ่มอีก 550 แห่ง บนพื้นที่ PTT Stations เป็นหลัก และได้วางเป้าหมายเพิ่มหัวชาร์จ (DC Fast charge) เป็นประมาณ 7,000 หัวชาร์จในปี 73 โดยมุ่งมั่นให้สอดคล้องกับจำนวนรถ EV ที่มากขึ้น
“ในส่วนของแผนงานอื่นๆ ยังคงต้องรอดูกันต่อไป เนื่องจากบริษัทมุ่งหาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจจำนวนหลายดีล โดยคาดการณ์ว่าเร็วๆนี้ จะสามารถปิดดีลลงทุนในธุรกิจอาหารได้” นางสาวปิติรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย