CPAXT ส่งซิกยอดขาย Q1 โตแกร่ง! ลุยขยาย “อาหารสด” ดันสัดส่วนสิ้นปีนี้โต 40%
CPAXT ส่งซิกยอดขายไตรมาส 1/67 ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง เน้นขายอาหารสดที่มีมาร์จิ้นสูง ดันสัดส่วนเพิ่มอีก 40% ภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเดินหน้าขยายสาขาใน-ต่างประเทศ เล็งศึกษาร่วมทุนพันธมิตรอินเดีย
นางสาวภัทรวัลล์ สุกปลั่ง ผู้ช่วยอำนวยการ ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ว่าแนวโน้มยอดขายไตรมาส 1/67 สำหรับธุรกิจค้าส่ง ยังเติบโตได้ดี ตัวเลขหลักเดียว ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ยอดขายยังวิ่งแรงเข้าใกล้ตัวเลข 2 หลักแล้ว ส่วนธุรกิจค้าปลีก ยังเติบโตได้ต่อเนื่องตัวเลขหลักเดียว ขับเคลื่อนโดยยอดขายอาหารสด และการขายนอกร้าน
โดยบริษัทวางกลยุทธ์ในการเปิดขยายสาขาใหม่ปี 67 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้
1.กลุ่มธุรกิจค้าส่ง โดยในประเทศไทยประมาณ 6-8 สาขา และในต่างประเทศ 1 สาขา ซึ่งเป็นประเทศที่ลงทุนอยู่แล้ว
- กลุ่มธุรกิจค้าปลีก จะมีสาขาแผนกใหญ่ในประเทศไทย 2 สาขา และซุปเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 8-10 สาขารวมในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งขยายร้าน Mini stores ประมาณกว่า 100 สาขา
ตั้งเป้าพื้นที่เช่าภายในอีก 5 ปี อยู่ที่ 210,000 ตารางเมตร เดินหน้าขยายพื้นที่ห้างสรรพสินค้าในร้านแม็คโคร แลพการขยายห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในร้านค้าที่มีอยู่ การปรับปรุงห้างสรรพสินค้าและส่วนต่อขยายขนาดเล็ก รวมถึงร้านค้าใหม่พร้อมพื้นที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ขึ้น
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชาและเมียนมายังสามารถทำยอดขายได้ดี ส่วนประเทศอินเดียอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น
ทั้งนี้ยังได้รับอานิสงส์จากโครงการ Easy E-receipt เพียงเล็กน้อย โดยลูกค้าที่มาจับจ่ายใช้สอย 12% ที่มาขอใบกำกับภาษี ขณะที่วันสุดท้าย (15 ก.พ.67) ก่อนหมดโครงการยอดขายสูงขึ้น แต่พอหลัง 15 ก.พ.67 ยอดขายก็แผ่วลง
สำหรับแผนงานปี 67 ตั้งเป้ายอดรายได้โตต่อเนื่องจากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในด้านต่างๆ โดยการขายนอกร้านมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายรวมเป็น 15% ซึ่งการขายผ่านแอปพลิเคชันคาดการณ์ว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า พัฒนาบริการ และการขยายพื้นที่ให้บริการลูกค้าด้วยการใช้จุดแข็งของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกที่มีสาขารวมกันกว่า 2,600 แห่งทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้า
โดยกลยุทธ์เชิงรุกที่สำคัญคือการเดินหน้าพัฒนาทีมนักขายของการขายนอกร้านกว่า 1,400 คนที่มีความเข้าใจ เข้าถึงลูกค้า เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการได้อย่างครอบคลุม ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านอาหารสด โดยเชื่อว่าความต้องการของลูกค้ายังคงมีต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี คาดว่าสิ้นปีนี้อาหารสดมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอีก 40%
รวมถึงต่อยอดพัฒนาอาหารพร้อมปรุง และอาหารพร้อมทาน รวมทั้งการสรรหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย เพื่อสร้างความแตกต่างหลากหลาย พร้อมตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (Private Label) วางแผนปรับโฉมสาขา และขยายสาขาเชิงรุก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายศูนย์กลางชุมชนให้เป็นศูนย์รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย โดยปีนี้เตรียมขยายในหลายรูปแบบและขนาดต่างๆ ตามกลุ่มลูกค้าแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ในส่วนของแม็คโครวางแผนขยาย 6-8 สาขา ส่วนโลตัสเตรียมขยายสาขาใหม่ในประเทศไทยและมาเลเซียมากกว่า 100 สาขา
พร้อมการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มธุรกิจโดยการผนึกกำลังธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และธุรกิจค้าปลีกโลตัส มาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกันนั้น ยังเป็นการนำศักยภาพของทั้ง 2 แบรนด์มาสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกิจการและการบริหารทรัพยากร ลดความซับซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นและโครงสร้างองค์กรภายในกลุ่มบริษัท
อีกทั้งขยายการสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น ผู้ผลิตรายย่อย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เห็นจากผลลัพธ์การสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้ผู้คนในสังคม โดยปีที่ผ่านมามีการสร้างงานผ่านหลายมิติกว่า 90,000 ราย ด้านเกษตรกรท้องถิ่น แม็คโคร-โลตัส สนับสนุนรับซื้อผักและผลไม้จากเกษตรกรกว่า 9.8 พันล้านบาท
รวมทั้งจัดกิจกรรมอบรมถ่ายทอดความรู้ในการพัฒนาทักษะ เพิ่มศักยภาพให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ อีกทั้งเดินหน้าโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ อาทิ การใช้พลังงานสะอาด อาหารดีพี่ให้น้อง อาหารอิ่มสุข และกิจกรรมช่วยเหลือสังคมอีกมากมาย เรียกว่ารวมพลังแบบคูณสอง ตอกย้ำเจตนารมณ์การเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม บริษัทรายงานผลประกอบการปี 2566 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,640.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.25% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7,696.90 ล้านบาท เป็นผลมามีรายได้รวม 489,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายจำนวน 466,234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3 จากปีก่อน จากการเติบโตของรายได้จากการขายของกลุ่มธุรกิจค้าส่งเพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายภายในสาขา รวมถึงการขายออนไลน์และการขายนอกร้าน พร้อมการส่งสินค้าถึงลูกค้า (“Omni Channel”) ของธุรกิจแม็คโครประเทศไทย ประกอบกับการเติบโตของ ธุรกิจแม็คโครต่างประเทศและธุรกิจฟูดเซอร์วิส ในขณะที่รายได้จากการขายของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.8% จากปีก่อน ทั้งนี้สัดส่วน Omni Channel ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยคิดเป็น 13.1% ของรายได้จากการขาย