BSRC โบรกชี้กำไรปี 67 แตะ 4.9 พันล้านบาท คาดค่าการกลั่นฟื้น

BSRC โบรกชี้กำไรปี 67 แตะ 4.9 พันล้านบาท คาดค่าการกลั่นฟื้น แม้ระยะสั้นปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 11.40 บาท จากเดิม 11.90 บาท เพื่อสะท้อนคาดการณ์กำไรหลังหักภาษี (NPAT) ที่ลดลงจากผลการดำเนินงานไตรมาส 4/66 ที่ผ่านมา


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุในบทวิเคราะห์กล่าวถึงกรณีของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC โดยมีการปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 11.40 บาท  จากเดิม 11.90 บาท เพื่อสะท้อนคาดการณ์กำไรหลังหักภาษี (NPAT) ที่ลดลง โดยมาจากผลงานในไตรมาส 4/66 ที่ผ่านมาอ่อนตัวเช่นเดียวกับหุ้นโรงกลั่นอื่นๆ ทั้งจากค่าความต่าง และค่าการตลาดที่ลดลงรวมไปถึงการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นให้ได้มาตรฐานยูโร 5

ทั้งนี้ บริษัทรายงานผลขาดทุน 2 พันล้านบาท โดย 1.8 พันล้านบาทที่ขาดทุนนั้นมาจากการขาดทุนน้ำมัน 4.6 เหรียญต่อบาร์เรล ในขณะที่ผลขาดทุนจากการดำเนินงานหลักในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 72 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 3/66 มี NPAT ราว 1.7 พันล้านบาท โดยบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปิดซ่อมบำรุงทั้งในด้านปริมาณการผลิต และค่าการกลั่นในตลาดที่ลดลงจาก 8.1เหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาส 3/66 เหลือ 2 เหรียญต่อบาร์เรลในไตรมาส 4/66 ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าต้นทุนการกลั่นน่าจะอยู่ราว 2.7 เหรียญต่อบาร์เรล และค่าเสื่อมราว 1.1 เหรียญต่อบาร์เรล ที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายในการปิดซ่อมบำรุง

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าการปิดซ่อมบำรุงนั้นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำซินเนอร์ยี่หลังการเข้าซื้อของบางจาก โดยอัตราการผลิตเริ่มเพิ่มขึ้นจาก 125,000 เหรียญต่อบาร์เรล/วัน ในเดือนพฤศจิกายน เป็น 144,000 เหรียญต่อบาร์เรล/วัน ในเดือนธันวาคม และเชื่อว่าปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องที่ 150,000 เหรียญต่อบาร์เรล/วัน ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา (เทียบกับค่าเฉลี่ย 125,200 เหรียญต่อบาร์เรล/วัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา)

อีกทั้งเชื่อว่าค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสดในการผลิตที่ 29 ล้านเหรียญ (คาดการณ์ว่าน่าจะมาจากค่าใช้จ่ายในการปิดซ่อมบำรุง) นั้นอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล และอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งอื่นๆ ในตลาด

ขณะที่ด้านค่าการตลาดนั้นปรับตัวลดลงจาก 1.9 บาท/ลิตร ในไตรมาส 3/66 มาอยู่ที่ 1.4 บาท/ลิตร ในไตรมาส 4/66 และยังคงอ่อนแออยู่จากมาตรการของภาครัฐที่คุมเพดานดีเซล พร้อมกับปริมาณการผลิตที่ลดลง 3.7%

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ระบุว่าไตรมาส 4/66 นั้นเป็นไตรมาสแรกที่เริ่มมีการเปลี่ยนปั๊มน้ำมันจาก ESSO มาเป็นบางจาก ซึ่งอาจทำให้มีผลกระทบต่อปริมาณยอดขายบ้าง

ขณะเดียวกันฝ่ายนักวิเคราะห์ปรับ NPAT ในปี 67 ลดลง 3% และปี 68 ลดลง 7% เพื่อสะท้อนค่าการกลั่น และค่าการตลาดที่ลดลง รวมถึงต้นทุนค่าการตลาดที่สูงขึ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าค่าการกลั่น และค่าการตลาดในปีนี้จะอยู่ที่ 5.5 เหรียญต่อบาร์เรล และ 1.88 บาท/ลิตร ตามลำดับ และคาดการณ์ว่าค่าการกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.2 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 68 พร้อมทั้งคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะในปี 67 เพิ่มขึ้นเป็น 4.87 พันล้านบาท และในปี 68 จะอยู่ที่ระดับ 5.91 พันล้านบาท รวมถึงปี 69 ที่ระดับ 6.15 พันล้านบาท

Back to top button