GUNKUL กวาดกำไรปี 66 แตะ 1.6 พันล้าน ทุ่มงบลงทุน 5 ปี มูลค่า 4.5 หมื่นลบ. ลุยพลังงานทดแทน
GUNKUL โชว์งบปี 66 กวาดกำไรแตะ 1.6 พันล้านบาท รับพลังงาน-ก่อสร้างเพิ่มขึ้น เดินหน้าพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนที่ได้รับคัดเลือกและเซ็น PPA ด้วยงบลงทุน 5 ปี มูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยมีรายได้รวม 7,77.12 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,576.18 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานที่เติบโต ทั้งในส่วนของพลังงานทดแทน และงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ในปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในประเทศ และได้รับคัดเลือกตามประกาศ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง 2565 จำนวน 17 โครงการ รวม 832.4 เมกวัตต์ โดยบริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟแล้ว จำนวน 14 โครงการ รวม 621.4 เมกะวัตต์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง และทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัทฯยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทต้องใช้งบลงทุนด้านพลังงานทดแทนใน 5 ปี ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 4.5 หมื่นล้าน ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงเห็นชอบให้ดำรงเงินสดไว้ในกิจการเพื่อนำไปลงทุน จึงเห็นควรให้งดจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมประจำปี สำหรับผลการดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพื่อนำไปลงทุนในการพัฒนาโครงการด้านพลังงานทดแทนที่บริษัทมีอยู่ รวมถึงเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับกิจการและผู้ถือหุ้นต่อไป
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 บริษัทฯได้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงาน สำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ในอัตรา 0.06 บาท/หุ้น คิดเป็น ร้อยละ 52.23 ของกำไรสุทธิ หรือคิดเป็นร้อยละ 45.75 สำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งยังคงเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผล ที่บริษัทได้กำหนดไว้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของงบการเงินเฉพาะกิจการ ทั้งนี้อัตราการจ่ายเงินปันผลเทียบกับราคาหุ้น (Dividend Yield) หลังหักสำรองใด ๆ มีอัตราที่ใกล้เคียงกับปีก่อน
นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมด้านนวัตกรรมพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ และปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับภูมิทัศน์ทางธุรกิจ (Business Landscape) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรในการที่จะพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทนในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายอุปกรณ์ไฟฟ้า และการติดตั้งพลังงานทดแทนให้แก่ประชาชนที่สนใจอยากเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มโกดังไฟฟ้าดอทคอม (www.godungfaifaa.com) และแพลตฟอร์มศูนย์รวมผู้รับเหมาโซลาร์ Volt (www.voltmarketplace.com) โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวได้นำมาใช้งานในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และสร้างรายได้เพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังมีแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) เพื่อเป็นการรองรับการผลิตพลังงานหมุนเวียนและศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant) รวมถึงแสวงหาโอกาสในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีโครงการอยู่ในมือแล้ว รวม 1,563 เมกะวัตต์ และบริษัทคาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะสามารถมีจำนวนเมกะวัตต์สะสม เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2,000 เมกะวัตต์ และมีรายได้รวม 10,000 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปี 2566 แสดงจำนวน 7,737 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจำนวน 2,263 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมในปี 2566 แสดงการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ คือ
1.โครงการโรงไฟฟ้า Private PPA
บริษัทมีการบันทึกรายได้การขายสินทรัพย์ในรูปแบบสัญญาเช่าเงินทุน ซึ่งในปี 2566 แสดงจำนวน 988 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อนจำนวน 536 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 119%
บริษัทรับรู้รายได้ดอกผลจากการให้เช่าซื้อโดยทยอยรับรู้ตลอดโครงการตามสัญญาขายไฟฟ้าให้กับคู่ค้าโดยในปี 2566 แสดงจำนวนเป็นรายได้ค่าบริการ 389 บาท เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนจำนวน 230 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 41%
2.รายได้จากธุรกิจก่อสร้างและให้บริการรายได้จากการก่อสร้างและให้บริการในงบการเงินรวม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แสดงจำนวน 2483.26 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปีก่อนแสดงจำนวน 1776.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 707.01 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 39.80% เนื่องจากการรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าภาคเอกชน
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีศักยภาพในการทำระบบสายส่ง แรงดัน 500kv โดยสามารถก่อสร้างระบบสายส่งทั้งใต้ดินและบนดิน ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า รวมถึงมีประสบการณ์ด้านการวางสายเคเบิ้ลใต้ทะเล อีกทั้ง บริษัทยังมีโอกาสที่จะได้รับงานเพิ่ม เนื่องจากมีการขยายสายส่งสถานี เพื่อรองรับแผน PDP ของพลังงานหมุนเวียนที่ได้มีการประกาศไปแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯมีทั้งโอกาสและศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
3.ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แสดงจำนวน 1,019.49 ล้านบาท (บันทึกส่วนแบ่งกำไรเป็นระยะเวลา 12 เดือน) เปรียบเทียบกับปีก่อนแสดงจำนวน 510.64 ล้านบาท (บันทึกส่วนแบ่งกำไรเป็นระยะเวลา 5 เดือน) เพิ่มขึ้นจำนวน 508.85 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 99.65 เนื่องจากบริษัทฯ ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทย่อยในกลุ่มพลังงานลมทั้ง 3 โครงการ ในสัดส่วนร้อยละ 50 และเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีจากกลุ่มบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมค้า ทำให้ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 มีการบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกลุ่มบริษัทย่อยในกลุ่มพลังงานลมทั้ง 3 โครงการ เพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญ
- รายได้อื่น สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แสดงจำนวน 131.88 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปีก่อน แสดงจำนวน 60.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 71.22 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 117.41 โดยเกิดจากรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่ยังไม่ได้ส่งมอบโครงการแก่ลูกค้า แต่ได้มีการบันทึกรายได้ค่าขายไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว
“อีกทั้ง จากความสำเร็จของบริษัทในปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัท ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทมีการเจริญเติบโตที่ต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร โดยการดำเนินธุรกิจของบริษัท จะเน้นการสร้างคุณค่า ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน จนบริษัทได้รับการประเมิน SET ESG Rating ในปี 2566 ที่ระดับ AA และได้รับผลประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2566 ระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7” นางสาวโศภชา กล่าว
รวมถึง บริษัทได้รับรางวัลและการรับรองต่างๆ มากมาย อาทิ การรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 มาตรฐานการรายงานผลการปลดปล่อยและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นรางวัลที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจในการดำเนินธุรกิจและสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่กับการสร้างคุณค่าแก่สังคม