“เศรษฐา” ถก 3 เอกชนยักษ์ใหญ่ออสเตรเลีย ดึงเงินลงทุน “ระบบกักเก็บพลังงาน-Data Center”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14:15 น. วันที่ 5 มี.ค. 67 (ตามเวลาท้องถิ่น นครเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย เร็วกว่าไทย 4 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พบหารือกับผู้บริหาร เอกชนของออสเตรเลียในด้านต่างๆ ได้แก่ Mr.Tim Harris, Managing Director and CEO บริษัท Redflow ประกอบธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System, ESS) เทคโนโลยีสังกะสี-โบรมีน มีฐานการผลิตในประเทศออสเตรเลียและประเทศไทย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บริษัท Redflow ลงทุนผลิตระบบกักเก็บพลังงานสังกะสี-โบรมีน (ESS) ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2561 เพื่อรองรับการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม สาธารณูปโภค จ.ชลบุรี และมีตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ตะวันออกกลาง, ยุโรป และเอเชีย และมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมในไทย แต่อยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบการผลิตร่วมกับโรงงานไทย ซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนและอำนวยความสะดวก โดยขอให้กระทรวงพลังงาน ช่วยผลักดันและทำ Roadshow เพื่อทำให้ช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานเป็นอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ

จากนั้นเวลา 14:40 น. (ตามเวลาท้องถิ่น นครเมลเบิร์น) นายกรัฐมนตรี พบกับ Mr.Martin Ripple, ผู้บริหาร ANCA ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องขึ้นรูป CNC (CNC Grinding Machine) และระบบเครื่องจักรสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ รถยนต์ ยา ฯลฯ มีโรงงานผลิต 2 แห่ง ที่ไทย 70% ของการผลิตทั้งหมด และ ANCA เป็นบริษัทคู่ค้ากับบริษัท Redflowในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ จ.ระยอง

โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่า บริษัทต้องการขยายฐานการผลิตเครื่องจักร แต่ติดขัดอยู่ที่ข้อตกลงทางการค้าของไทย (FTA) ที่ยังไม่ครอบคลุม จึงให้ รมว.การต่างประเทศ และผู้แทนการค้าไทย เร่งรัดการเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประเทศ เช่น สหภาพยุโรป (EU )เพื่อให้การค้าการลงทุนมีความคล่องตัวมากขึ้น

ต่อมาเวลา 15:20 น. (เวลาท้องถิ่น นครเมลเบิร์น) นายกรัฐมนตรี พบ Mr. Craig Scroggie ผู้บริหาร NextDC และ Managing Director ผู้นำอุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขนาดใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บริษัท NextDC เป็นบริษัท Data Center ที่เข้ามาตั้งในประเทศไทย มีบริษัท Microsoft Amazon และ NVIDIA เป็นลูกค้าหลัก ที่ต้องการขยายการลงทุนการสร้าง Data Center ในเขตกรุงเทพฯ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเรื่องการจ้างงาน, การถ่ายโอนเทคโนโลยี และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเชื่อมั่นว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล