กกร. คงเป้า GDP ปีนี้โต 2.8-3.3% แนะรัฐกระตุ้นศก.-เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
กกร. คงประมาณตัวเลข GDP ไทยปี 67 ขยายตัว 2.8-3.3% แนะรัฐหามาตรการกระตุ้นเพิ่มกำลังซื้อ หลังหนี้ครัวเรือนสูง ยืดเวลาตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาท และมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี หวังเร่งเบิกจ่ายงบประมาณฯ 67 ดันเศรษฐกิจไตรมาส 2/67 ฟื้น พร้อมปรับร่างพรบ.มลพิษทางอากาศ แก้ปัญหาทุกมิติ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า ที่ประชุม กกร.ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยปี 2567 ที่ 2.8-3.3% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะจากการส่งออกที่ฟื้นตัวช้า โดยคาดว่าปี 2567 จะขยายตัวได้ 2-3% การท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้าสู่ระดับเดิม ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศยังถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดการณ์อยู่ที่ 0.7-1.2%
“อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในไตรมาสที่ 2/2567 จากปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ปรับเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการประคองเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง และจะหนุนการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในระยะข้างหน้า ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ในกรอบ 2.8-3.3% ตามที่ประเมินไว้เดิม” นายเกรียงไกรกล่าว
โดยหากจะให้การส่งออกขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 2-3% ภาคการส่งออกจะต้องเร่งการส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งในแต่ละเดือนที่เหลือจะต้องมีมูลค่าการส่งออกไม่น้อยกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์ โดยภาคการส่งออกจะต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆหาตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อหนุนการส่งออก แม้ภาคการส่งออกมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ แต่คาดการณ์ว่าทั้งปี 2567 มูลค่าการส่งออกยังเติบโตอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด เนื่องจากชาวจีนหันไปท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก แต่หลังจากที่มีมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว 34-35 ล้านคนได้ ด้านหนี้ครัวเรือนปัจจุบันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงขอให้ภาครัฐบาลเร่งหามาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนมากขึ้น
ส่วนมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 19 มีนาคม นี้ หากมีความเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลต่อมาตรการดังกล่าวออกไป อย่างไรก็ตาม คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของภาครัฐ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวยอมรับเป็นการสร้างภาระ และส่งผลต่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ดังนั้น ต้องให้ภาครัฐพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ การจัดสรรเงิน
นายเกรียงไกรกล่าวเพิ่มว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากมาตรการภาครัฐที่มาพยุงแต่สร้างภาระ แต่มาตรการนี้มีเวลา หวังว่าภาครัฐจะต้องมีการพิจารณา เพราะต้องดูจากสภาพเศรษฐกิจ ที่ความเปราะบาง กำลังซื้อยังแย่ หนี้ภาคครัวเรือนที่แตะ 90.9% แม้ภาครัฐจะเข้ามาแก้ แต่ก็ยังเพิ่งเริ่ม
ดังนั้น ภาครัฐคงต้องมีมาตรการในการช่วยเหลือผู้เปราะบางโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งถ้าพิจารณาข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) หรือเครดิตบูโร รายงานการผิดนัดชำระหนี้ที่สูง ประกอบกับสถาบันการเงินมีความเข้มงวดและระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เป็นสิ่งที่รัฐจะต้องช่วยสนับสนุนและทำอย่างไรให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน ต่อไปในอนาคต ภาครัฐควรนำไปพิจารณาต่อ
นอกจากนี้ กกร.มีข้อเสนอแนะต่อการจัดทำร่าง พรบ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ที่ ครม. ได้มีมติรับหลักการไปแล้ว เพื่อให้กลไกการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศมีความยั่งยืน และครอบคลุมปัญหาในทุกมิติทั้งจากปัญหา PM2.5 การเผาในที่โล่ง มลพิษจากภาคขนส่ง และมลพิษข้ามแดน ดังนี้
- เสนอให้มีผู้แทนภาคเอกชนจำนวน 4 ท่านเท่ากับภาคประชาชนเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการขับเคลื่อน 3 คณะ ภายใต้ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด 2) คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด 3) คณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน
- บูรณาการการกำกับดูแล ด้านมาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด ดัชนีคุณภาพอากาศ และมาตรฐานการควบคุมต่างๆ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน
- ทบทวนการวางหลักประกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในการขออนุญาตประกอบกิจการ โดยควรนำเอาระบบการซื้อประกันภัยมาใช้ทดแทนในกรณีที่เกิดความเสียหาย รวมทั้งปรับบทลงโทษผู้กระทำความผิดให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม
- ทบทวนการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดการใช้เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถนำงบประมาณมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
- ศึกษาความเหมาะสมและรายละเอียดในร่าง พรบ. โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนรวมทั้งเสนอให้ภาครัฐต้องเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของผักและผลไม้ที่นำเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เนื่องจากในเดือนม.ค.มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 8.45% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 13,275.20 ล้านบาท
ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมานั้น นายเกรียงไกร กล่าวว่า ในส่วนของการค้าไม่ได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากใช้สกุลเงินท้องถิ่น ส่วนกรณีนักศึกษาเมียนมาต้องการเข้ามาหาสถานที่เรียนนั้นน่าจะเป็นโอกาสที่จะเปิดรับบุคลากรระดับปัญญาชนเข้ามาช่วยทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน