“เวิลด์แบงก์” มองจีดีพีไทยปีนี้โต 3% จ่อหั่นลงต่อ เซ่นศก.โลกชะลอ-งบประมาณล่าช้า

“เวิลด์แบงก์” มองจีดีพีไทยปีนี้โต 3% เตรียมปรับลดคาดการณ์เติบโตลงอีก หลังการชะลอตัวของการค้าโลก-งบประมาณรายจ่ายล่าช้า เสี่ยงภาวะเงินเฟ้อกระทบโครงสร้างพื้นฐาน แนะรัฐเร่งปฏิรูปนวัตกรรม-ลงทุนทรัพยากรมนุษย์ ลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 มี.ค. 67) นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ตามการคาดการณ์ของธนาคารโลก การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยยังคงตามหลังประเทศอื่นๆ ตัวเลขจีดีพีรายไตรมาสของไทยยังคงอ่อนแรงอยู่ เนื่องจากการค้าโลกชะลอตัวลง รวมถึงมีปัจจัยท้าทายภายในประเทศ เช่น ความล่าช้าของเรื่องงบประมาณรายจ่าย เพราะฉะนั้นประเทศไทยถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนในช่วงไตรมาสที่แล้ว โดยคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางอยู่ที่ราว 3% ซึ่งยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับประเทศที่จะเติบโตเป็นประเทศที่มีรายได้สูงที่จะต้องมีอัตราการเติบโตราว 5%

ดังนั้น รัฐบาลไทยควรจะปฏิรูปในเรื่องนวัตกรรม การบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการเติบโตของเมืองและภูมิภาค รวมถึงลงทุนในเรื่องทุนมนุษย์ ไม่เพียงแต่ไทยจะสามารถบรรลุในเรื่องนั้นได้จากการระดมทรัพยากรมากขึ้น แต่ยังผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย ประเทศไทยยังคงมีขีดความสามารถที่จะใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มี เช่น โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่จะทำการปฏิรูปเหล่านี้เช่นกัน ไทยยังคงมีพื้นที่ทางการคลังที่จะลงทุนในเศรษฐกิจ ในทุนมนุษย์ ในโครงสร้างพื้นฐาน และปฏิรูปเศรษฐกิจให้ลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และการลงทุนไม่ใช่แค่เม็ดเงินเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนอีกด้วย

“ธนาคารโลกประจำประเทศไทยอาจปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้และปีหน้าลงอีก เพราะอุปสรรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไป อาทิ การชะลอตัวของการค้าโลก งบประมาณรายจ่ายที่ล่าช้าซึ่งจะลามไปจนถึงปีงบประมาณหน้า และจะส่งผลกระทบต่อโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่ยังไม่ได้เริ่มต้น โดยธนาคารโลกคาดว่าจะเผยแพร่รายงานการคาดการณ์ดังกล่าวในช่วงเดือนเมษายนนี้” นายเกียรติพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ จากรายงานของธนาคารโลกเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นายเกียรติพงศ์มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจและแรงกดดันเงินเฟ้อก็ยังคงมีในระบบเพราะเราใช้มาตรการตรึงราคา แรงกดดันอาจยังแฝงอยู่ในบางหมวด เพราะฉะนั้นเรามองว่านโยบายดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว

ส่วนเรื่องที่เศรษฐกิจไทยควรจะเฝ้าระวังเรื่องใดบ้างในปีนี้ คือการมีเรื่องงบประมาณล่าช้า การขับเคลื่อนโครงการพื้นฐานที่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้ ภาวะเงินเฟ้อก็มองว่ามีความเสี่ยงเพราะเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจทำให้ราคาพลังงานและอาหารเพิ่มขึ้นไปอีก ก็จะกระทบกับประเทศไทยด้วย ส่วนความกังวลว่าเหตุการณ์ที่กลุ่มกบฏฮูตีโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดงนั้น ตนไม่ทราบว่าไทยจะได้รับผลกระทบหรือไม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้เพราะทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกันผ่านระบบห่วงโซ่อุปทานของโลก และมีโอกาสที่จะทำให้ภาวะเงินเฟ้อของโลกสูงขึ้นไปอีก เรามองว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีกว่าที่คาด แต่เติบโตในระดับที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับก่อนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด -19

Back to top button