RS ส่งซิกครึ่งแรกปี 67 สดใส เร่งปรับโฉม “RS Mall X” ลุยธุรกิจคอมเมิร์ซ-อินฟลูเอนเซอร์
RS แย้มผลงานครึ่งแรกปี 67 สดใส รับธุรกิจมีเดียฟื้นตัว เร่งปรับโฉมแพลตฟอร์มโซเชียล “RS Mall X” ลุยธุรกิจคอมเมิร์ซ-อินฟลูเอนเซอร์ในไตรมาส 2/67 ลุ้นรายได้ทั้งปีนี้แตะ 4.4 พันล้านบาทตามเป้า
นายวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 ว่า ในปี 2566 บริษัทได้มีพัฒนาการหลายอย่างในทุกๆธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มสัตว์เลี้ยงและกลุ่มธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ที่มีการฟื้นตัวและเติบโตทุกหน่วย เช่น สื่อโฆษณา, กิจกรรม และคอนเสิร์ต ที่สามาถจัดได้เต็มรูปแบบและเต็มปีหลังโควิด -19 คลี่คลาย เป็นผลทำให้รายได้รวมจากการขายและบริการสําหรับปี 2566 อยู่ที่ 3,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.30% จากชีวงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3,532 ล้านบาท ช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิ 2566 อยู่ที่ 1,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 918% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 137 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทประกอบด้วย 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจการพาณิชย์ (Commercial) มีรายได้อยู่ที่ 1,432 ล้านบาท ลดลง 16.50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากการชะลอตัวของช่องทาง RS Mall ซึ่งได้รับผลกระทบจากความนิยมของ Home shopping ที่ลดลงหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่จะชดเชยด้วยการเติบโตของช่องทาง ULife ที่รับรู้รายได้เต็มปี และการเติบโตของสินค้าและบริการเพื่อสัตว์เลี้ยงที่ขยายประเภทสินค้าได้ครบถ้วนครอบคลุมความต้องการในหมวดหลักๆ ทั้งอาหารเปียก อาหารแห้ง ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง และเริ่มรับรู้รายได้จากการควบรวม Pet Medical Group ซึ่งให้บริการ Pet wellness ภายใต้แบรนด์ Hato และโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ-ชัยพฤกษ์
ขณะที่ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ มีรายได้อยู่ที่ 2,218.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,818.2 ล้านบาท เป็นผลจากธุรกิจสื่อมีรายได้อยู่ที่ 1,648 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.90% เป็นผลจากเม็ดเงินโฆษณาที่ฟื้นตัวหลังจาก สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ส่วนธุรกิจเพลงและอื่นๆ มีรายได้อยู่ที่ 571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% โดยบริษัทมีการขยายและยกระดับคอนเทนต์ต่อเนื่องทุกแพลตฟอร์ม เพิ่มรูปแบบและเพิ่มคอนเทรนต์รูปแบบใหม่ รวมถึงช่องทางอื่นๆ มุ่งสู่ตลาดส่งออกในปี 2567
“ปี 2566 นับได้ว่าเป็นปีแห่งการพัฒนาหลายๆโครงสร้างของบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ แบรนด์ Life mate และผลิตภัณฑ์ OEM ที่มีการเติบโตยอดขายเลข 2 หลัก โดยบริษัทได้เริ่มในส่วนของบริการ pet well-ness บริษัทได้เริ่มเปิดโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ ฮาโตะ และโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ-ชัยพฤกษ์ และเริ่มเปิด pet retail shop 2 สาขาแรก เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในกลุ่ม RS pet all ซึ่งเป็นธุรกิจนึงที่น่าจับตามอง ขณะที่ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ก็ยังคงการฟื้นตัวและเติบโตทุกหน่วยอย่างต่อเนื่อง เช่น สื่อโฆษณา กิจกรรมอีเว้น คอนเสิร์ต สามาถจัดได้เต็มรูปแบบและเต็มปีหลังโควิด -19 คลี่คลาย รวมถึงได้พาร์ทเนอร์ระดับโลก อย่าง Universal Music Group ที่เข้ามาบริหารลิขสิทธิ์เพลงช่องทางออนไลน์ ช่วยทำให้รายได้ออนไลน์เติบโตก้าวกระโดด เช่น รายได้ต่อวิวในยูทูปให้เพิ่มมากกว่า 30-40%” นายวิทวัส กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทมองเห็นสัญญาการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อและมีเดียตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากแผนการปรับโมเดลธุรกิจ และแพลตฟอร์มใหม่ที่จะเข้ามาในไตรมาส 2/67 และกิจกรรมคอนเสิร์ตเริ่มกลับมาเต็มที่ในไตรมาส 2 เป็นต้นไป สร้างการเติบโตให้ดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถทำรายได้อยู่ที่ 4,400 ล้านบาทในปีนี้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ 1. การสร้างธุรกิจคอมเมิร์ซให้มีความแข็งแกร่งด้วยการปรับรูปแบบใหม่ 2. ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์และเพลง ดำเนินการปรับโครงสร้างใหม่ กระจายฟังก์ชั่นธุรกิจ เน้นการใช้ศักยภาพมากขึ้นและหารายได้หลากหลายรูปแบบเพิ่มเติม และ 3. พยายามต่อยอด new venture และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
ขณะเดียวกัน บริษัทก็เน้นการสร้างสิ่งใหม่ๆในปี 2567 นี้เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และต่อยอดรายได้จากหลายช่องทาง ผ่านการปรับโฉมแบรนด์ RS Mall ให้เป็น “RS Mall X” แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดกว้าง เป็นการใช้พื้นที่โซเชียลคอมเมิร์ซ หรือใช้อินฟลูเอนเซอร์มาเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ มีทั้งการใช้อินฟลูในสังกัด เพื่อใช้กลุ่มเน็ตเวิร์คในการนำเสนอสินค้า โดยบริษัทมีจุดแข็งด้านบันเทิง จึงสามารถผลักดันการใช้ศักยภาพ KOL มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยให้อินฟลูเอนเซอร์ทำการขายผ่านช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซ เช่น ติ้กตอก, อินสตราแกรม, ลาซาด้า และชอปปี้ ฯลฯ อีกทั้ง RS Mall X ยังทำหน้าที่เป็น KOL เอเจนซี่ ร่วมกับดาราศิลปินนอกเหนือสังกัด RS ที่มีความสนใจเข้าร่วมนำเสนอหรือขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
สำหรับโมเดลทั้งหมดเรียกว่า Multi-Channel Network Model โดยบริษัทจะเข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์กับติ้กตอก เพื่อเสริมศักยภาพกันและกัน รวมถึงทำให้ช่องทางการขายมีเพิ่มมากขึ้น ขยายเข้าสู่โซเชียลคอมมเมิร์ซมากขึ้น ทำให้สามารถพัฒนาและหาสินค้าได้หลากหลาย ตอบโจทย์อายุของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
โดยบริษัทจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2/2567 หรือตั้งแต่ช่วงต้นเดือเมษายนเป็นต้นไป ซึ่งเชื่อว่าเทรนด์ต่างๆ จะช่วยให้ธุรกิจคอมเมิร์ซเติบโตได้ และคาดการณ์ว่าการใช้อินฟลูเอนเซอร์สามารถดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามา ทำการซื้อขายผ่าน RS Mall X ที่มีระบบหลังบ้านรองรับ เรื่องของการขายสินค้าและการจัดส่ง ประกอบกับ RS มีความเชี่ยวชาญด้านคอนเทนต์ และการนำเสนอสินค้า สามารถเข้าไปช่วยสนับสนุน เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ในการขายสินค้ามีความน่าสนใจมากขึ้น มีโปรดักพอร์ตโฟลิโอเป็นแบรนด์ของบริษัทและพาร์ทเนอร์ โดย KOL จะได้รับส่วนของค่ามิชชั่นไป สำหรับผู้ประกอบการ RS mall X มีฐานอินฟลูเอนเซอร์ค่อนข้างกว้าง มีดารา นักร้องและไอดอล ตลอดจนพิธีกรมากมาย
“บริษัทมุ่งมั่นที่จะเพิ่มขยายช่องทางการเติบโต สินค้าที่สร้างความหลากหลายมากยิ่งขึ้น การที่ร่วมกับ KOL จะทำให้ขยาฐานลูกค้าและขยายสินค้าไปยังหมวดที่หลากหลายมากขึ้น เช่น แฟชั่น อาหาร ของใช้การบริการและร้านอาหาร เพิ่มการขายได้มากขึ้นผ่านการใช้โซเชียลคอมเมิร์ซ และจะทำให้ต้นทุนถูกลง วัดผลได้ง่าย และการเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ซึ่งสามารถใช้โมเดลนี้ต่อยอดกับโซเชียลมีเดียอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน” นายวิทวัส กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสในการเติบโตต่างประเทศ เป็นโอกาสในการเติบโต สู่ retail footprint ในอนาคต โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ เนื่องจากเป็นประเทศมีอัตราการเติบโตของจีดีพีที่สูง และประชากรหนาแน่น โดยบริษัทเลือกที่จะลงนามกับ OCBFF ที่มีประบบการขายสินค้าไทย โดยสามารถสร้างยอดขายกว่า 17 ล้านเหรียญต่อปี