3 หุ้นโรงไฟฟ้า SPP วิ่ง รับ กกพ. จ่อเคาะค่า Ft งวด พ.ค.-ส.ค. ต่ำสุด 4.18 บ./หน่วย

GPSC- GULF -BGRIM กอดคอวิ่ง รับ กกพ. เปิดเฮียริ่งค่าไฟรอบใหม่ ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 4.18 บาท/หน่วย สูงสุด 5.4357 บาท/หน่วย ฟากโบรกแนะ“ซื้อ” พ่วง “เก็งกำไร” ลุ้นกำไรปีนี้ฟื้นตัว รับต้นทุนพลังงานลดลง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 มี.ค. 67) ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ากอดคอวิ่ง นำโดยบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ณ เวลา 14:52น. อยู่ที่ 55.25 บาท บวก 2.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.74% มูลค่าซื้อขาย 479.86 ล้านบาท

ด้านบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ  GULF ราคาหุ้น ณ เวลา 14:51 น. อยู่ที่ 44.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.07% มูลค่าซื้อขาย 702.79 ล้านบาท

ขณะที่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้น ณ เวลา 14:51 น. อยู่ที่ 28.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2.73% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 310.97 ล้านบาท

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ จากกรณีที่ กกพ. เตรียมเปิดเฮียริ่งค่าไฟรอบเดือน พ.ค.-ส.ค. ต่ำสุดอยู่ที่ระดับ 4.18 บาท/หน่วย (คงเดิม) สูงสุด 5.4357 บาท/หน่วย โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ 8-22 มี.ค. 67 พร้อมทั้งเสนอ 3 กรณีในการปรับค่า Ft งวดดังกล่าว อาทิเช่น กรณีค่าไฟต่ำสุด 4.18 บาท/หน่วย จะมีการจ่ายหนี้คืน กฟผ. 7 งวด งวดละ14,000 ล้านบาท

โดยมองประเด็นดังกล่าวเป็น “บวก” ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP โดยค่าไฟที่ระดับ 4.18 บาท/หน่วย สูงกว่า assumption ของเราที่ 4 บาท มองภาพกำไรโรงไฟฟ้า SPP เข้าสู่รอบฟื้นตัวตามเดิมจากต้นทุนที่ลดลง พร้อมทั้งแนะนำ “ซื้อ” GPSC, GULF และ “เก็งกำไร” BGRIM

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2567 มีมติรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริงประจำรอบเดือน ก.ย.- ธ.ค.2566 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2567 พร้อมให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ไปรับฟังความคิดเห็นใน 3 กรณี ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ.ตั้งแต่วันที่ 8-22 มีนาคม 2567 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

-กรณีที่ 1 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมดในงวดเดียว) แบ่งเป็น ค่าเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค. – ส.ค. 2567 จำนวน 19.21 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชำระภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. จำนวน 99,689 ล้านบาท ในงวดเดียวหรือ 146.03 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีเรียกเก็บ 165.24 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับเดือน พ.ค. – ส.ค. 2567 เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพิ่มขึ้นเป็น 5.4357 บาทต่อหน่วย

-กรณีที่ 2 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 4 งวด) แบ่งเป็นค่าเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค.-ส.ค.2567 จำนวน 19.21 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชำระภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. จำนวน 99,689 ล้านบาท ภายใน 4 งวดๆ ละ จำนวน 24,922 ล้านบาท หรือ 36.51 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าเอฟทีเรียกเก็บที่ 55.72 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับเดือน พ.ค. – ส.ค. 2567 เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วยแล้วทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.3405 บาทต่อหน่วย

-กรณีที่ 3 (ตรึงค่าเอฟทีเท่ากับงวดปัจจุบันตามที่ กฟผ. เสนอ หรือจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างประมาณ 7 งวด) แบ่งเป็นค่าเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค. – ส.ค. 2567 จำนวน 19.21 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชำระภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. จำนวน 99,689 ล้านบาท ประมาณ 7 งวดๆ ละ จำนวน 14,000 ล้านบาท หรือ 20.51 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าเอฟทีเรียกเก็บคงเดิมที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วยสำหรับเดือน พ.ค. – ส.ค. 2567  เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย แล้วทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็น 4.1805 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน

ทั้ง 3 กรณีดังกล่าวข้างต้น ยังไม่รวมเงินภาระคงค้างค่าก๊าซที่เกิดจากนโยบายที่ให้รัฐวิสาหกิจที่นำเข้าก๊าซเรียกเก็บราคาค่าก๊าซเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2566 คงที่ตามมติ กพช. จึงมีส่วนต่างราคาก๊าซที่เกิดขึ้นจริงและราคาก๊าซที่เรียกเก็บ (AF Gas) โดยภาระดังกล่าวยังคงค้างที่ ปตท. (เฉพาะในส่วนของการผลิตไฟฟ้าเพื่อขายเข้าระบบ) เป็นจำนวนเงิน 12,076 ล้านบาท และยังคงค้างที่ กฟผ. เป็นจำนวนเงิน 3,800 ล้านบาท

ผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ทั้ง 3 กรณีที่กล่าวข้างต้นนั้น เป็นไปตามการประมาณการต้นทุนเชื้อเพลิงโดย ปตท. และ กฟผ. นำค่าประมาณการดังกล่าวมาคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้า ซึ่งสำนักงาน กกพ. ได้จัดทำสรุปสมมุติฐานที่ใช้ในการประมาณการค่าเอฟทีรอบคำนวณเดือน ม.ค. – เม.ย. 2567 เทียบกับการคำนวณในปีฐาน พ.ค.-ส.ค. 2558 และรอบประมาณการค่าเอฟทีเดือน พ.ค.- ส.ค. 2567

หมายเหตุ: * ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 **การคำนวณค่าไฟฟ้าฐาน ไม่ได้จำแนกข้อมูลดังกล่าวไว้ จึงนำข้อมูลเฉลี่ยปี 2558 โดยคำนวณปริมาณการใช้ก๊าซฯ (ไม่รวมโรงแยกก๊าซฯ) และปรับตามปริมารการผลิตและนำเข้าก๊าซธรรมชาติของประเทศจริง เพื่อใช้เปรียบเทียบเบื้องต้นเท่านั้น

นายคมกฤช กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้ารอบ พ.ค – ส.ค. 2567 ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนราคา LNG ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลทำให้ราคาประมาณการ Pool Gas ลดลงจาก 333 ล้านบาทต่อล้านบีทียู เป็น 300 ล้านบาทต่อล้านบีทียู

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแหล่งเอราวัณจะมีแผนทยอยปรับเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติจาก 400 เป็น 800  ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือน เม.ย. 2567 แต่ประมาณการปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ได้จากอ่าวไทยเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้ายังคงอยู่ในระดับเดิมหรือลดลงเล็กน้อย

อีกทั้งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเมียนมาร์ยังมีแนวโน้มที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้า LNG เพื่อเสริมปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ขาดหายและเสริมความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในปัจจุบันและในช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง

Back to top button