EA ปักธงปี 67 รายได้โต 10% ลุยส่งมอบรถอีวี 3.3 พันคัน
EA กางแผนปี 67 รายได้เติบโต 5-10% เดินหน้าส่งรถยนต์ไฟฟ้าบุกตลาดเชิงพาณิชย์-ขนส่งโลจิสติกส์ โดยตั้งเป้าส่งมอบรถอีวี 3.3 พันคันในปีนี้ พร้อมลงทุกตลาดโซล่ารูฟท็อปและธุรกิจพลังงานต่างในประเทศ
นายวสุ กลมเกลี้ยง Executive Vice President บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน (Opportunity Day) จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2567 ว่าผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 7,606.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7,604.29 ล้านบาท ซึ่งมาจากผลดำเนินงานของธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์และธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่สูงขึ้น
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 5-10% ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีผลการดำเนินจากธุรกิจหลายด้าน อาทิ โครงการ “MINE Locomotive” หรือ หัวรถจักรไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการทดสอบการทำงานเรียบร้อยแล้ว ยกตัวอย่างเช่น การทดสอบหัวรถจักรโดยการบรรจุและแยกสินค้าลาดกระบังไปยังสถานีแหลมฉบังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทดสอบลากหัวรถจักรโดยสารจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นการนำมาใช้งานจริงในช่วงไตรมาส 4/2567
ขณะเดียวกันบริษัทฯ มุ่งขยายตลาดรถไฟฟ้า EV เชิงพาณิชย์และคาดการณ์จะมีรถยนตร์ไฟฟ้าเข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ประมาณ 80,000 คัน โดยแบ่งเป็นรถบรรทุก 95% รถบัส 5% ซึ่งในปี 2567 ตั้งเป้าส่งมอบรถ EV ประมาณ 3,300 คัน คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 4% พร้อมทั้งในปีเดียวกันจะมีการเปิดตัวรถตู้ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่ช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า นับเป็นรุ่นที่ 2 ของบริษัทตามหลังกระบะไฟฟ้ารุ่นแรกที่นำเข้ามาจำหน่ายปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 1,000 คัน ส่วนปี 2568 วางเป้าการส่งมอบอยู่ที่ประมาณ 8,000 คัน คาดการณ์ว่าจะเติบโต 10% และปี 2569 อยู่ที่ประมาณ 12,000 คัน คาดการณ์เติบโต 15%
รวมถึงในระยะเวลาภายใน 3–5 ปีนี้ สัดส่วนรายได้จากธุรกิจ EV และพลังงานสะอาดจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งประมาณ 37% คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นที่ 50% สาเหตุมาจากรถ EV ของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ทั้ง EV Dump Truck ,EV Road Sweeper Truck,EV Garbage Truck และ EV Tractor ส่วนแผนการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า EV สู่ตลาดต่างประเทศบริษัทมีความคืนหน้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ประเภทหัวลากไฟฟ้า ซึ่งมีบริษัทติดต่อเข้ามาเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการเซ็นสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศสหพันสวิตเซอร์แลนด์ คาดการณ์ว่าจะเห็นการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2567 ทั้งนี้ เป็นการร่วมลงทุนกับ บริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด โดยสาเหตุที่ลงทุนเนื่องจากต้องการนำเข้ามาขายแก่กลุ่มลูกค้า “โลจิสติกส์” ที่อาจไม่มีกำลังมาพอที่จะเข้าถึงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยจากข้อมูลพบว่ารถ หากตลาดมี EV Truck จำนวน 500 คัน จะสามารถได้คาร์บอนเครดิต 15,900 ตันต่อปี
นอกจากธุรกิจ EV แล้วบริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจสู่ตลาด “Solar Roof” หรือ โซล่ารูฟท็อป มากยิ่งขึ้น โดยมองว่าปัจจุบันภาครัฐเริ่มมีการสนับสนุนให้สำนักงานต่างๆ หันมาติดโซล่า และคาดการณ์ว่ารายได้จากตลาดโซล่ายังมีจำนวนมีมากในปัจจุบัน
“บริษัทยังมีโปรเจกลงทุนด้านพลังงานที่ดำเนินการอยู่ตอนนี้ ซึ่งไม่สามารถระบุได้ แต่อาจเป็นการลงทุนในต่างประเทศ และกรณีข่าวภาครัฐมีนโยบายการเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะเป็น EV นั้น จะส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัทในหลายด้าน อาทิ ระบบชาร์จไฟฟ้า การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า” นายวสุ กล่าวทิ้งท้าย