BCP บวกต่อ 4% โบรกอัพเป้าใหม่ 50 บาท ชี้กำไร Q1 ฟื้นเด่น-บุกเบิกน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน
BCP บวกต่อ 4% โบรกอัพเป้าใหม่ 50 บาท ชี้กำไรไตรมาส 1/67 ฟื้นเด่นจากไตรมาสก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมรับข่าวบุกเบิกโครงการน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืนรายแรกในไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 มี.ค. 67) ราคาหุ้น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ณ เวลา 10:22 น. อยู่ที่ระดับ 46.50 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 3.91% สูงสุดที่ระดับ 47.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 45.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 340.68 ล้านบาท
บริษัท หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากกรณีของ BCP กำลังก่อสร้างโครงการน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ด้วยกำลังการผลิตที่ 7KBD หรือ 1 ล้านลิตร/วัน ซี่ง BCP และ BBGI Pcl. (BBGI.BK/BBGI TB) ถือหุ้นในสัดส่วน 80% และ 20% ตามลำดับ ในขณะที่บริษัทมีเป้าหมายการจัดหาวัตถุดิบได้จาก 2 แหล่งเพื่อใช้ในการผลิตในโครงการ SAF ได้แก่
1.ใช้น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว (used cooking oil: UCO) ที่สัดส่วน 85% จากบริษัทคู่ค้าคือ ธนโชคน้ำมันพืช (2555) 2.กรดไขมันปาล์ม (palm fatty acid distillate: PFAD) ที่สัดส่วน 15% จากบริษัทย่อยที่ BBGI ในด้านอุปสงค์ของ SAF นั้น คณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอบังคับใช้ SAF เป็นส่วนผสมสำหรับน้ำมันอากาศในสนามบินต่างๆ ของ EU เป็นสัดส่วนขั้นต่ำของ SAF ที่ 2% ในปี 2568 และทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 63% ในปี 2593
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2566 ทาง BCPได้เซ็นสัญญาร่วมกับบริษัท Cosmo Oil ของญี่ปุ่นเพื่อที่จะขายผลิตภัณฑ์ SAF เป็นจำนวนอย่างมีนัยสำคัญเป็นเวลา 10 ปีให้แก่ Cosmo Oil โดยบริษัทคาดใช้เงินลงทุนในโครงการประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าโครงการ SAF จะช่วยเพิ่ม EBITDA ราว 3.3 พันล้านบาทต่อปี และช่วยเพิ่มกำไรขึ้นราว 2.0 พันล้านบาทต่อปี บนสมมติฐานของ 1) อัตรากำลังผลิตที่ 100%, 2) spread ของ SAF อยู่ที่US$0.89/liter และ 3) การได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีจาก BOI เป็นเวลา 8 ปี
ทั้งนี้ จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นอีก 8% เป็น 1.32 หมื่นล้านบาทในปี 2568 เพราะได้รวมผลบวกจากโครงการ SAF ไว้ในประมาณการทางการเงินครั้งนี้ด้วย ขณะที่ยังคงประมาณการกำไรปี 2567 ไว้เช่นเดิมที่1.06 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรในไตรมาส 1/2567 ของ BCP ฟื้นตัวเด่นจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก 1) ไม่มีการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่า 2.2 พันล้านบาทจากแหล่ง Statfjord ของ OKEA เหมือนที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4/2566 , 2) ค่าการกลั่นดีขึ้น และ 3)มีอัตราการกลั่นน้ำมันดิบสูงขึ้นจากโรงกลั่น Bangchak Sriracha (BSRC.BK/BSRC TB)* โดยเราคาดmarket GRM ของ BCP สูงขึ้นไตรมาสก่อน ในไตรมาส 1/2567
โดยเป็นผลมาจาก 1) การผลิตน้ำมันเบนซินหยุดชะงักจากพายุฤดูหนาวที่ประเทศสหรัฐฯ, 2) การปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นหลายแห่งในเอเซีย, 3) สต๊อกน้ำมันกลุ่ม middledistillate ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยห้าปีย้อนหลัง และ 4) ปริมาณการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในรัสเซียหายไป 800-900KBD หลังจากถูกโจมตีด้วยโดรนของยูเครน ทำให้ spread ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในไตรมาส 1/2567 พุ่งขึ้น 40% จากไตรมาสก่อน เป็น 17.5 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 11% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 23.4 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ นอกจากนี้ BSRC ยังสามารถเพิ่มอัตราการกลั่นน้ำมันดิบเป็น 150-155KBD ในไตรมาส 1/2567 ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 26-30% จาก 119KBD ในไตรมาส 4/2566 เนื่องจากไม่มีการปิดหน่วย CDU#2 เหมือนในไตรมาส 4/2566 รวมทั้งมีอุปสงค์น้ำมันจาก BCP มากขึ้น
ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2567 ด้วยวิธี SoTP ขึ้นเป็น 50.00 บาท จากเดิม 46.00 บาท หลังจากปรับเพิ่ม EV/EBITDA สำหรับธุรกิจโรงกลั่นของ BCP ขึ้นเป็น 7.0 เท่า จากเดิม 6.5 เท่า เพื่อสะท้อนผลบวกจากโครงการ SAF นอกจากนั้น และเชื่อว่าราคาหุ้นจะได้แรงหนุนจาก 1) คาดกำไรในไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า อย่างมีนัยสำคัญ, 2) การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BSRC เต็มปีเป็นปีแรก และ 3) ได้รับผลบวกจากโครงการ SAF ที่กำลังจะเปิดดำเนินการในไตรมาส 1/2568 แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำ “ถือ” BCP